1 of 86

วิทยาการคำนวณ ม.3

บทที่ 6 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างรู้เท่าทัน

คลิกเพื่อเข้าสู่บทเรียน

2 of 86

เมนูหลัก

คำชี้แจง

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

ผู้จัดทำ

เหตุผลวิบัติ

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างปลอดภัย

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

การใช้งานลิขสิทธิ์

ที่เป็นธรรม

3 of 86

  1. ให้นักเรียนศึกษาบทเรียน

2. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน

คำชี้แจง

4 of 86

1

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

5 of 86

2

จุดประสงค์การเรียนรู้

ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้

อภิปรายข้อมูลที่เป็นเหตุผลวิบัติได้

รู้เท่าทันสื่อและข่าวลวง

อภิปรายกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม

6 of 86

3

ทบทวนความรู้ก่อนเรียน

โฆษณาที่ส่งมากับอีเมลจัดเป็นสแปม ถูกต้องหรือไม่ ?

7 of 86

4

ทบทวนความรู้ก่อนเรียน

รายงานผู้ให้บริการเมื่อพบว่ามีการกลั่นแกล้งผู้อื่นในสื่อสังคม ถูกต้องหรือไม่ ?

8 of 86

5

ทบทวนความรู้ก่อนเรียน

การนำรูปภาพที่เพื่อนเป็นผู้ถ่ายมาปรับแต่งและโพสต์ลงสื่อทางสังคม ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ถูกต้องหรือไม่ ?

9 of 86

6

ทบทวนความรู้ก่อนเรียน

ในปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศทำได้ง่ายดังนั้นการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้ความรอบคอบเข้าใจเทคโนโลยีและศึกษาเงื่อนไขในการใช้งานไม่ว่าจะเป็นการใช้สมาร์ทโฟน เครื่องคอมพิวเตอร์ การใช้งานแอพพลิเคชั่น ทุกคนจึงควรเรียนรู้และติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

ในบทนี้นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของข้อมูล เหตุผลวิบัติ การรู้เท่าทันสื่อ และการใช้ไอทีอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม

10 of 86

7

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

การนำข้อมูลมาใช้ในการเรียน การทำงานและการตัดสินใจต่างๆ จะต้องพิจารณาความถูกต้องของข้อมูลที่นำมาจากหลายแหล่งข้อมูลโดยต้องเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้องสมบูรณ์ สอดคล้องตรงตามความต้องการและมีความทันสมัย

11 of 86

8

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ นักเรียนอาจใช้การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ประเด็นการพิจารณาของ "พรอมท์" PROMPT ได้แก่

การนำเสนอ

(Presentation)

ความสัมพันธ์

(Relevance)

วัตถุประสงค์

(Objectivity)

วิธีการ

(Method)

แหล่งที่มา

(Provenance)

เวลา

(Timeliness)

12 of 86

9

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

การนำเสนอ

(Presentation)

การนำเสนอข้อมูลที่ดี จะต้องมีการวางเค้าโครงที่เหมาะสมมีรายละเอียดชัดเจน ไม่คลุมเครือ ใช้ภาษาและสำนวนถูกต้อง มีข้อมูลตรงตามที่ต้องการ เนื้อหามีความกระชับ สามารถจับใจความหรือประเด็นที่สำคัญได้

13 of 86

10

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

ความสัมพันธ์

(Relevance)

การพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์จะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องของข้อมูลกับสิ่งที่ต้องการถึงแม้ว่าข้อมูลนั้นอาจมีคุณภาพมากแต่ถ้าไม่สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ เช่น นักเรียนจะไปเที่ยวเกาะภูเก็ตซึ่งอยู่ทะเลฝั่งอันดามัน แต่ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับทะเลฝั่งอ่าวไทย

14 of 86

11

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

วัตถุประสงค์

(Objectivity)

ข้อมูลที่จะนำมาใช้ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือมีเจตนาแอบแฝง

ตัวอย่างข้อมูลที่มีเจตนาแอบแฝง เช่น

  • สื่อสารด้วยการให้ข้อมูลด้านเดียวโดยมีวัตถุประสงค์อื่นพยายามปิดบังข้อมูลที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตนเอง
  • สื่อสารด้วยอารมณ์เชิงบวกหรือลบ
  • มีการโฆษณาแอบแฝง เช่น นายแบบชื่อดังเผยแพร่ตารางการออกกำลังกายแต่แฝงโฆษณาอาหารเสริมลดความอ้วน
  • มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น นักวิจัยเผยแพร่ผลงานวิจัยที่เอื้อกับบริษัทที่สนับสนุนทุนวิจัย

15 of 86

12

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

วิธีการ

(Method)

ข้อมูลที่นำมาใช้ เป็นข้อมูลที่มีการวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ เช่น หากนักเรียนต้องการใช้แอพพลิเคชั่นตรวจสอบลำดับคะแนนสอบวิชาวิทยาการคำนวณของตนว่าอยู่ในระดับใดของโรงเรียน แอพพลิเคชั่นนั้นควรมีการเตรียมข้อมูลดังนี้

  1. เก็บข้อมูลคะแนนสอบวิชาวิทยาการคำนวณของนักเรียนทั้งหมด
  2. นำข้อมูลมาจัดเรียงลำดับจากมากไปน้อย
  3. ใช้ค่าสถิติเปอร์เซ็นไทล์

16 of 86

13

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

แหล่งที่มา

(Provenance)

ข้อมูลที่น่าเชื่อถือต้องมีการระบุแหล่งที่มาอย่างชัดเจนและเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

17 of 86

14

การประเมิน

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

เวลา

(Timeliness)

ข้อมูลที่มีคุณภาพจะต้องมีความเป็นปัจจุบันหรือมีความทันสมัยและมีการระบุช่วงเวลาในการสร้างข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริง

18 of 86

15

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

ในการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์หรือแหล่งที่มาของข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปใช้งานและอ้างอิง จำเป็นต้องมีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาของข้อมูลก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะสร้างความเสียหายได้ วิธีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลสามารถทำได้ดังนี้

19 of 86

16

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

เว็บไซต์หรือแหล่งที่มาของข้อมูลต้องบอกวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูลไว้ในเว็บไซต์อย่างชัดเจน

1

การนำเสนอเนื้อหาต้องตรงตามวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูลของเว็บไซต์

2

20 of 86

17

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

เนื้อหาเว็บไซต์ไม่ขัดต่อกฎหมายศีลธรรมและจริยธรรม

3

มีการระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์

4

21 of 86

18

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

มีการอ้างอิงแหล่งที่มาหรือแหล่งต้นตอของข้อมูลที่มีเนื้อหาปรากฏบนเว็บไซต์

5

สามารถเชื่อมโยง (link) ไปเว็บไซต์อื่นที่อ้างถึงเพื่อตรวจสอบแหล่งต้นตอของข้อมูลได้

6

22 of 86

19

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

มีการระบุวันเวลาในการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์

7

มีการให้ที่อยู่หรืออีเมลที่ผู้อ่านสามารถติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้

8

23 of 86

20

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

มีช่องทางให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น

9

มีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์

10

24 of 86

21

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

บางเว็บไซต์อาจใช้ชื่อที่คล้ายกับหน่วยงานราชการที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือมีส่วนที่แตกต่างกันเล็กน้อยซึ่งเว็บไซต์เหล่านี้อาจให้ข้อมูลที่คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หากผู้ใช้งานไม่ได้สังเกตให้รอบคอบอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเว็บไซต์เหล่านี้เป็นแหล่งต้นตอของข้อมูล

25 of 86

21

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ของแหล่งที่มาของข้อมูล

ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้โดยดูข้อมูลจากการจดทะเบียนชื่อโดเมนว่าเป็นหมายเลขไอพีเดียวกับหน่วยงานที่รู้จักและมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งมีเว็บไซต์ที่ให้บริการตรวจสอบชื่อโดเมนและข้อมูลอื่นๆของเว็บไซต์ เช่น whois.domaintools.com

26 of 86

1

เหตุผลวิบัติ

27 of 86

2

เหตุผลวิบัติ

การใช้เหตุผลเป็นวิธีหนึ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อคิดเห็นหรือข้อสรุปต่างๆ การให้เหตุผลที่เหมาะสมมีส่วนทำให้การตัดสินใจยอมรับความเห็นและข้อสรุปทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามการให้เหตุผลมีทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมแตกต่างกันไป

28 of 86

3

เหตุผลวิบัติ

ในปัจจุบันการให้เหตุผลที่ไม่เหมาะสม พบเห็นได้มากขึ้น โดยผู้ให้เหตุผลอาจมีเจตนาบิดเบือนความจริงหรือคิดไปเองไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จนทำให้เหตุผลเหล่านี้อาจกลายเป็นเหตุผลวิบัติหรือตรรกะวิบัติได้ เหตุผลวิบัติเป็นการโต้แย้งโดยการให้เหตุผลที่คลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงหรือมีความเป็นจริงเพียงบางส่วน จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความขัดแย้งกับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง

29 of 86

4

เหตุผลวิบัติ

เช่น การโต้แย้งบนเว็บบอร์ดหรือเครือข่ายทางสังคมที่มีการใช้ถ้อยคำประชดประชัน การใช้ความรู้สึกส่วนตัว การใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

ซึ่งกระบวนการเหล่านี้อาจนำไปสู่การสรุปผลหรือการตีความข้อสรุปจากการโต้แย้งที่ไม่ได้นำข้อเท็จจริงมาพิจารณา ทำให้ผู้รับสารได้รับข่าวสารที่คลาดเคลื่อน

30 of 86

5

เหตุผลวิบัติ

เหตุผลวิบัติสามารถจำแนกออกได้เป็นสองแบบดังนี้

เหตุผลวิบัติแบบเป็นทางการ

เหตุผลวิบัติแบบไม่เป็นทางการ

31 of 86

6

เหตุผลวิบัติ

เหตุผลวิบัติแบบเป็นทางการ

เหตุผลวิบัติแบบทางการ เกิดจากการให้เหตุผลที่ใช้หลักตรรกะไม่ถูกต้องแต่เขียนอยู่ในรูปแบบที่เป็นทางการทำให้ดูสมเหตุสมผล

32 of 86

7

เหตุผลวิบัติ

ตัวอย่าง

มีคนกำลังหาเสียงและพูดว่า “ถ้าไม่เลือกผมผมจะไม่พัฒนาหมู่บ้าน”

ซึ่งถ้านักเรียนฟังแล้วอาจตีความว่าถ้าเลือกแล้วจะมีการพัฒนาหมู่บ้าน แต่ในความเป็นจริงถึงแม้จะถูกเลือกก็อาจจะไม่มีการพัฒนาหมู่บ้านก็ได้

33 of 86

8

เหตุผลวิบัติ

เหตุผลวิบัติไม่แบบเป็นทางการ

เกิดจากการให้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักตรรกะในการพิจารณาแต่เป็นการสันนิษฐานหรือเล่นสำนวน ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาชักนำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นการพูดกำกวมหรือการพูดมากเกินความจำเป็น

34 of 86

9

เหตุผลวิบัติ

เช่น

  • การให้เหตุผลโดยอ้างถึงลักษณะของตัวบุคคลโดยไม่สนใจเนื้อหาสาระของข้อความ
  • การให้เหตุผลโดยอ้างถึงผู้พูดว่ามีพฤติกรรมขัดแย้งกับสิ่งที่พูดเพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดมาจึงเชื่อถือไม่ได้
  • ให้เหตุผลโดยอ้างถึงความน่าสงสารหรือความเห็นอกเห็นใจแล้วเปลี่ยนเป็นความถูกต้อง

35 of 86

10

เหตุผลวิบัติ

  • ให้เหตุผลโดยอ้างถึงคนส่วนใหญ่ปฏิบัติเหมือนกันเพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
  • ให้เหตุผลโดยสร้างทางเลือกไว้แค่ 2 ทาง แต่ในความเป็นจริงอาจมีทางเลือกอื่นอีกมากมาย
  • ให้เหตุผลเกินจริงโดยการบอกเหตุผลว่าเมื่อเกิดสิ่งนี้แล้วจะทำให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งตามมาซึ่งเกินจากความเป็นจริงไปมาก

36 of 86

11

เหตุผลวิบัติ

  • ให้เหตุผลโดยเบี่ยงเบนประเด็นการโต้แย้งของผู้อื่นให้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วโจมตีจากประเด็นที่ถูกบิดเบือนนั้น
  • ให้เหตุผลโดยอ้างว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งพิเศษไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้นจะเอาไปเปรียบเทียบสิ่งอื่นไม่ได้ทั้งที่ประเด็นที่กล่าวอ้างนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่โต้แย้งกันอยู่เลย

37 of 86

1

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างปลอดภัย

38 of 86

2

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างปลอดภัย

การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศมีวัตถุประสงค์หลายอย่าง เช่น การใช้งานเพื่อทำธุรกรรมอิเล็คทรอนิกส์ การใช้งานเพื่อสนับสนุนการทำงานและการใช้งานทั่วไป ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งาน

39 of 86

3

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างปลอดภัย

การทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตหรือธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์นั้น กลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวคนไทยมากขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยได้ให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆเปิดโครงการพร้อมเพย์เพื่อให้ทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น การโอนเงิน การชำระค่าสินค้าและบริการ

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

40 of 86

4

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างปลอดภัย

ในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้องระมัดระวังและมีความรอบคอบ เช่น การซื้อสินค้าออนไลน์ ผู้ซื้อสินค้าไม่เห็นสินค้าจริงและไม่ได้รับสินค้าทันทีหลังจากชำระเงิน ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เกิดการฉ้อโกง เช่น ไม่ได้รับสินค้า สินค้าไม่มีคุณภาพหรือสินค้าไม่ตรงตามข้อมูลที่ปรากฏ

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

41 of 86

5

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีอยู่ 2 รูปแบบคือ

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

การธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ

การทำธุรกรรมโดยผ่านผู้ให้บริการ

42 of 86

6

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

การธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ

การทำธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อโดยผ่านเครือข่ายทางสังคมต่างๆหรือผ่านเว็บไซต์ของผู้ขายเช่น การจองที่พักผ่านเว็บไซต์ของโรงแรม การสั่งซื้อมะพร้าวจากเว็บไซต์กลุ่มเกษตรกรจังหวัด

43 of 86

7

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

การทำธุรกรรมโดยผ่านผู้ให้บริการ

การทำธุรกรรมโดยผ่านผู้ให้บริการเป็นรูปแบบการทำธุรกรรมที่มีผู้ให้บริการสนับสนุนการดำเนินการหรือตัวกลาง โดยผู้ให้บริการจะรวบรวมสินค้าและบริการต่างๆให้อยู่ในที่เดียวเพื่อง่ายต่อการเข้าถึงและใช้บริการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

44 of 86

8

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

การทำธุรกรรมโดยผ่านผู้ให้บริการ

การทำธุรกรรมในรูปแบบนี้ผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะมีการตรวจสอบผู้ขายและเป็นเสมือนผู้รับประกันทั้งในส่วนของสินค้าการให้บริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อว่าจะไม่ถูกหลอกลวงจากการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

45 of 86

9

การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย

การทำธุรกรรมโดยผ่านผู้ให้บริการ

การทำธุรกรรมในรูปแบบนี้คนกลางมักเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งส่วนของผู้ขายและผู้ซื้อ อีกทั้งยังรับประกันการได้รับสินค้า ซึ่งทำให้ปัญหาต่างๆลดลง ตัวอย่างเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางในการให้บริการ lazada.co.th , shopee.co.th

46 of 86

10

ผู้ใช้บริการอาจถูกมิจฉาชีพฉ้อโกงโดยใช้กลยุทธ์เรื่องราคาและหลักจิตวิทยาในการล่อลวงให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความโลภหรือเข้าใจผิด เช่น ขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าปกติมาก ขายสินค้าลอกเลียนหรือละเมิดลิขสิทธิ์ โดยทำให้เข้าใจว่าเป็นสินค้าของแท้

ข้อความคำนึงในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

47 of 86

11

นอกจากนี้ผู้ใช้บริการควรมีความระมัดระวังในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ ซึ่งอาจมีหลายรูปแบบเช่น

ข้อความคำนึงในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

  • ชำระเงินโดยการให้ผู้ซื้อดำเนินการโอนเงินผ่านธนาคารแล้วส่งหลักฐานยืนยันเพื่อให้ผู้ขายส่งของภายหลัง
  • ชำระเงินภายหลังจากได้รับสินค้ากับผู้ขายหรือผู้ให้บริการส่งสินค้า

48 of 86

12

ชำระเงินโดยผ่านบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร ซึ่งใช้เพียงข้อมูลบางอย่าง เช่น ถ้าชำระเงินด้วยบัตรเครดิตจะใช้เพียงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัตรคือหมายเลขบัตร วันหมดอายุ รหัสซีวีวี ที่อยู่ด้านหลังบัตร แล้วจะมีการยืนยันด้วยการส่งรหัสผ่านแต่ละครั้งผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรืออีเมล

ข้อความคำนึงในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

49 of 86

13

หลังจากทำธุรกรรมเสร็จแล้ว จะมีการแจ้งเตือนรายละเอียดการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถืออีเมลหรือแอพพลิเคชั่น จะเห็นว่าการตรวจสอบและยืนยันตัวตนหลายชั้นจะช่วยทำให้เกิดความมั่นใจในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ หากผู้ให้บริการมีการยืนยันเพียงระดับเดียว อาจทำให้ไม่ปลอดภัย เช่นถ้ามีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิต มิจฉาชีพก็สามารถทำธุรกรรมได้เพราะไม่มีการยืนยันตัวตนผ่านโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง

ข้อความคำนึงในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

50 of 86

14

บริการตัวกลางการชำระเงิน เช่น ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีบริการรับชำระเงินโดยการเติมเงินเข้าระบบและผูกบัญชีเข้ากับหมายเลขโทรศัพท์มือถือผู้ที่เป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ สามารถโอนจ่ายและชำระค่าสินค้าและบริการได้เสมือนกับมีบัญชีธนาคาร

ข้อความคำนึงในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

51 of 86

15

ข้อควรระวังในการซื้อแอพพลิเคชั่น ไอเทมหรือการบริการ เมื่อมีการชำระผ่านบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคารระบบปฎิบัติการจะบันทึกรายละเอียดไว้ ผู้ใช้งานควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยไว้เสมอปิดหรือลบข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคารทุกครั้งที่ใช้เสร็จแล้ว ซึ่งการลบข้อมูลเหล่านี้อาจจะทำให้ไม่ได้รับความสะดวกเมื่อจะชำระเงินครั้งต่อไปแต่ก็สามารถป้องกันมิจฉาชีพในการโจรกรรมผ่านระบบหรือการเผลอใช้บริการแบบไม่รู้ตัว

เกร็ดความรู้

52 of 86

16

  • การสมัครบริการต่างๆที่มีการชำระค่าบริการรายเดือนถึงแม้ว่าจะต้องใช้การใช้เพียงเดือนเดียวแต่ผู้ให้บริการส่วนใหญ่มักจะมีการหักเงินค่าบริการทุกเดือนแบบอัตโนมัติ เช่น เสียงเพลงรอสาย การฟังเพลงหรือดูหนังออนไลน์
  • ระวังการคลิกลิ้งก์ที่โฆษณาผ่าน sms อาจจะเป็นการสมัครใช้บริการโดยอัตโนมัติทันที

เกร็ดความรู้

53 of 86

17

การรู้เท่าทันสื่อ

การรู้เท่าทันสื่อ หมายถึง ความสามารถในการป้องกันตนเองจากการถูกโน้มน้าวด้วยเนื้อหาที่เป็นเท็จและมีผลกระทบต่อผู้รับสื่อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทางการตลาดหรือผลประโยชน์ที่สื่อนำเสนอ

54 of 86

18

การรู้เท่าทันสื่อ

การรู้เท่าทันสื่อนั้น สามารถตั้งคำถามว่า

    • สื่อนั้นมีที่มาอย่างไร
    • ใครเป็นเจ้าของสื่อ
    • ใครผลิตและผลิตภายใต้ข้อจำกัดใด
    • ควรเชื่อหรือไม่
    • มีความเชื่ออะไรที่แฝงมากับสื่อนั้น
    • ผู้สร้างหรือผู้เผยแพร่สื่อนั้น หวังผลอะไร

ดังนั้นควรเลือกแนวปฏิบัติอย่างเหมาะสม

55 of 86

19

การรู้เท่าทันสื่อ

โดยทั่วไปแล้ว การเข้าถึงเนื้อหาหรือข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆนั้นสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้รับสารแต่ต้องสร้างการตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามของสื่อที่มากับความอยากรู้อยากเห็นด้วย

56 of 86

20

การรู้เท่าทันสื่อ

การรู้เท่าทันสื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับดังนี้

ระดับที่ 1

ผู้รับสื่อตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกและจัดสรรเวลาในการใช้สื่อต่างๆ

57 of 86

21

การรู้เท่าทันสื่อ

ระดับที่ 2

ผู้รับสื่อสามารถเรียนรู้ทักษะการรับสื่อแบบวิพากษ์ สามารถวิเคราะห์และตั้งคำถามว่าสื่อถูกสร้างขึ้นได้อย่างไรและมีความน่าเชื่อถือหรือไม่

58 of 86

22

การรู้เท่าทันสื่อ

ระดับที่ 3

ผู้รับสื่อสามารถวิเคราะห์สื่อในเชิงสังคมการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์จนนำไปสู่การสร้างเวทีทางสังคม

59 of 86

23

ข่าวลวงและผลกระทบ

ข่าวลวง (fake news) เป็นรูปแบบหนึ่งของการก่อกวน ซึ่งข่าวลวงจะนำเสนอเรื่องราวที่เป็นเท็จมีวัตถุประสงค์แอบแฝงที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อขายสินค้า ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความสับสนให้แก่ผู้รับข้อมูล ข่าวลวงอาจแพร่ผ่านอีเมลหรือเครือข่ายทางสังคมโดยจะส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งส่วนบุคคล ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง

60 of 86

24

ข่าวลวงและผลกระทบ

ลักษณะของข่าวลวงเช่น

  • สร้างเรื่องราวเพื่อให้เป็นจุดสนใจของสังคม
  • สร้างความหวาดกลัว
  • กระตุ้นความโลภ
  • สร้างความเกลียดชัง
  • ส่งต่อกันมาผ่านเครือข่ายทางสังคม
  • ไม่ระบุแหล่งที่มา
  • ขยายความต่อจากอคติของคนทั่วไปที่มีอยู่ก่อนแล้วเพื่อหวังให้ตนเองได้รับผลประโยชน์หรือใช้เพื่อโจมตีคู่แข่ง

61 of 86

25

ข่าวลวงและผลกระทบ

ดังนั้นผู้รับข่าวสารต้องมีวิจารณญาณเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองและผู้อื่นตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง เพื่อป้องกันความเสียหายต่อตนเองและสังคม

62 of 86

26

ให้นักเรียนยกตัวอย่างสถานการณ์ข่าวลวงและวิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการแชร์สู่สังคม

กิจกรรม

63 of 86

1

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

64 of 86

2

การออกข้อกำหนดระเบียบและกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

65 of 86

3

ประเทศไทยมีการออกพระราชบัญญัติต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างสม่ำเสมอโดยรายละเอียดต่างๆสามารถศึกษาได้จากพระราชบัญญัติแต่ละฉบับดังนี้

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัล

เพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560

66 of 86

4

ตัวอย่างการกระทำที่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เช่น

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออีเมลให้บุคคลอื่น ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือรำคาญโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับสามารถบอกเลิกหรือปฏิเสธการตอบรับได้โดยง่าย เช่น ส่งอีเมลสแปม ส่งข้อความโฆษณามาที่โทรศัพท์มือถือ ฝากร้านในเครือข่ายทางสังคม

67 of 86

5

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • กดไลค์ (Like)เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
  • กดแชร์ (Share) ข้อมูลที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นทำให้เกิดความเสียหาย
  • พบข้อมูลผิดกฎหมายในระบบคอมพิวเตอร์หรือในบัญชีเครือข่ายทางสังคมถึงแม้ไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลก็ตาม แล้วเพิกเฉยโดยไม่แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบและลบข้อมูลออกจากระบบ

68 of 86

6

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • ผู้ดูแลเพจหรือแอดมินเพจพบข้อความแสดงความคิดเห็นที่ผิด พ.ร.บ แล้วเพิกเฉย
  • โพสต์สื่อลามกอนาจารที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
  • โพสต์เกี่ยวกับเด็กเยาวชนแล้วไม่ปิดบังใบหน้ายกเว้นกรณีที่เป็นการเชิดชูหรือชื่นชมอย่างให้เกียรต

69 of 86

7

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตแล้วทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฏหมาย
  • การโพสต์ด่าว่าผู้อื่นหรือข้อความเท็จเป็นความผิดทางอาญา
  • ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น เช่น ข้อความ เพลง รูปภาพ วิดิทัศน์
  • แชร์รูปภาพของผู้อื่นในเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้

70 of 86

1

การใช้งานลิขสิทธิ์

ที่เป็นธรรม

71 of 86

2

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ลิขสิทธิ์ สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ที่จะกระทำการใดๆเกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ริเริ่ม โดยการใช้สติปัญญาความรู้ความสามารถและความวิริยอุตสาหะของตนเองในการสร้างสรรค์ ไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น โดยงานที่สร้างสรรค์ต้องเป็นงานตามประเภทที่กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง โดยผู้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์โดยไม่ต้องจดทะเบียนกรมทรัพย์สินทางปัญญา

72 of 86

3

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ผู้ใดต้องการใช้ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน เพราะกฎหมายให้ความคุ้มครอง แต่ก็มีข้อยกเว้นให้ใช้งานได้บางอย่างโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือที่เรียกว่าการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม เช่น ใช้ในการเรียนการสอน การรายงานข่าว แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบกับเจ้าของลิขสิทธิ์โดยมีหลักในการพิจารณาดังนี้

73 of 86

4

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

การใช้งานลิขสิทธิ์ ผู้นำไปใช้ต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าหรือหากำไร ไม่มีเจตนาทุจริตและใช้เพื่อประโยชน์แก่สังคม

วัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งานลิขสิทธิ์

74 of 86

5

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ผู้นำไปใช้ต้องพิจารณาระดับของการสร้างสรรค์ผลงาน การใช้ความวิริยอุตสาหะหรือการใช้จินตนาการสูง เช่น นวนิยายหรือการรายงานเหตุการณ์ที่เฉพาะ ไม่ควรนำผลงานเหล่านี้ไปใช้เพราะหากนำไปใช้จะถือว่าไม่เป็นธรรฒ

ลักษณะงานอันมีลิขสิทธิ

75 of 86

6

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

การนำผลงานไปใช้ในปริมาณที่มากเกินไปหรือใช้ในปริมาณน้อย แต่เป็นส่วนสำคัญ ถือว่าเป็นการใช้งานที่ไม่เป็นธรรม เพราะกระทบต่อสิทธิ์ทางกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร

ปริมาณของการนำไปใช้

76 of 86

7

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • การวิจัยหรือศึกษางานโดยไม่แสวงหากำไรเช่นนักเรียนสำเนาข้อความบางส่วนในบทความเพื่อทำแบบฝึกหัด

ตัวอย่างการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรม

  • ผู้สอนทำซ้ำดัดแปลงผลงาน เพื่อประกอบการสอนแจกจ่ายจำนวนจำกัด เพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอนและมีการอ้างอิงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยไม่แสวงหากำไร

77 of 86

8

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • ในกรณีหนังสือที่ไม่ได้พิมพ์จำหน่ายเป็นเวลานานและการนำไปใช้งานไม่กระทบตลาดเจ้าของลิขสิทธิ์จนทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์ขายไม่ได้ เนื่องจากหนังสือไม่มีขายในท้องตลาดแล้วก็อาจจะถือว่าเป็นการใช้งานลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมได้
  • การนำงานลิขสิทธิ์มาใช้เพื่อสังคม โดยคัดลอกปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมสิ่งใหม่และมีการอ้างอิงในงานวิจัยเพื่ออธิบายความคิดเห็นของผู้เขียน

78 of 86

9

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • การคัดลอกคำกล่าวหรือบทความโดยย่อและมีการอ้างอิงในการรายงานข่าว
  • การเสนอรายงานหรือติชมวิจารณ์แนะนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปริมาณที่สมควรและมีการอ้างอิง
  • การทำซ้ำ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้แสวงหากำไร ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์เปิดโอกาสให้สาธารณะชนทำซ้ำโดยไม่คิดมูลค่า

79 of 86

10

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • การสำเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีไว้จำหน่ายสามารถสำรองไว้เพื่อป้องกันการสูญหาย
  • การรายงานข่าว งานวรรณกรรมที่ตีพิมพ์เพื่อวางจำหน่ายที่รายงานไม่เกิน 10% หรือ 1000 คำและใช้ภาพไม่เกินหกภาพและมีการอ้างอิงซึ่งเป็นการใช้งานในปริมาณพอสมควร ถือว่าเป็นการใช้งานที่เป็นธรรม

80 of 86

11

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • การรายงานข่าวโดยใช้มิวสิควิดีโอประกอบไม่เกิน 10% หรือไม่เกิน 30 วินาทีของผลงานนั้นโดยมีการอ้างอิงเจ้าของผลงาน

81 of 86

12

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • การดาวน์โหลดเพลงผู้อื่นไปขาย

ตัวอย่างการใช้งานลิขสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม

  • สอนถ่ายเอกสารหนังสือเรียนเพื่อขายกับผู้เรียนจำนวนมากทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์สูญเสียรายได้
  • ผู้นำไปใช้มีเจตนาทุจริต โดยการนำงานที่มีลิขสิทธิ์ไปใช้โดยไม่อ้างอิงหรือใช้ในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผลงานลิขสิทธิ์นั้นเป็นของตนเอง

82 of 86

13

กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • การใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบทดลองใช้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะหมดอายุการใช้งาน
  • ผู้นำไปใช้มีเจตนาทุจริต โดยการนำงานที่มีลิขสิทธิ์ไปใช้โดยไม่อ้างอิงหรือใช้ในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผลงานลิขสิทธิ์นั้นเป็นของตนเอง

83 of 86

14

สรุปท้ายบท

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อยากมีความปลอดภัยและมีความสุขนั้น ผู้ใช้จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและมีศิลปะในการใช้ชีวิตในสังคมดิจิทัลที่มีความซับซ้อนได้อย่างเหมาะสม ก่อนที่จะใช้ข้อมูลต่างๆจะต้องประเมินความน่าเชื่อถือโดยพิจารณาในประเด็นของ พรอมท์ ได้แก่การนำเสนอความสัมพันธ์ วัตถุประสงค์ วิธีการ แหล่งที่มาและเวลา

84 of 86

15

สรุปท้ายบท

โดยต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลและต้องตระหนักถึงการให้เหตุผลที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อให้สามารถนำไปแก้ปัญหาได้ ผู้ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศต้องมีความรอบคอบระมัดระวัง รู้เท่าทันสื่อและข่าวลวงต่างๆและปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจก่อปัญหาใหญ่และอาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้

85 of 86

16

กิจกรรม

  • นักเรียนมีวิธีอย่างไรในการพิจารณาว่าข้อมูลที่ได้รับมามีความน่าเชื่อถือ
  • ตรรกะวิบัติคืออะไร
  • ข่าวลวงมีผลกระทบต่อสังคมอย่างไร
  • ทำไมนักเรียนจึงต้องมีความรู้เรื่อง พ.ร.บ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
  • นักเรียนสามารถใช้ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้หรือไม่อย่างไร

86 of 86

ผู้จัดทำ

นางสาว…………………………………

ตำแหน่ง …………………………

โรงเรียน…………………………………..