ค่านิยม 12ประการ
ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายของ คสช.
1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน
7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง
8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี
11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา
12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นำค่านิยมหลัก 12 ประการไปจัดทำเป็นกลอน เพื่อให้นักเรียนท่องเป็นบทอาขยาน และให้มีการสอบเพื่อเก็บคะแนนด้วยนั้น ศธ.เตรียมจะนำแนวทางที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้มาดำเนินการทันที ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเมื่อเด็กท่องได้แล้วก็ควรต้องปฏิบัติได้ด้วย และไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น แต่คิดว่าบุคลากร ข้าราชการและประชาชนทุกคนควรนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังเช่นกัน ทั้งนี้ในเบื้องต้นจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเป็นบทร้อย แก้ว และให้เด็กนำไปท่องเป็นบทอาขยาย เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้เกิดความซึมซับ ส่วนการให้คะแนนนั้นเป็นเรื่องของสถานศึกษาแต่ละแห่ง ว่าจะประเมินผลและให้คะแนนอย่างไร เพียงแต่ให้คำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดกับผู้เรียนเป็นสำคัญ
ปลัด ศธ.กล่าวว่า นอกจากนี้ ศธ.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาหาแนวทางนำค่านิยมหลัก 12 ประการไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่เฉพาะนำไปสอดแทรกในหลักสูตรการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการนำไปใส่ไว้ในการจัดกิจกรรมเสริมต่างๆ และการวัดประเมินผลด้วย ซึ่งเวลานี้ก็มีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านส่งคู่มือแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่ ชัดเจนมาให้แล้ว
"ศธ.จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจัดทำเป็นร่างประกาศ เพื่อให้สถานศึกษานำค่านิยมหลัก 12 ประการไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และนำเสนอให้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศธ. ลงนามประกาศใช้ และหลังจากนั้นทุกสถานศึกษาก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที” ปลัด ศธ.กล่าว.
ค่านิยมคือ
ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่สังคมถือว่ามีค่าพึงปราถนาต้องการให้เป็นเป้าหมายของสังคมและปลูกฝังให้สมาชิกของสังคมยึดถือเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตควรหลีกเลี่ยง เช่น ความยากจน สิ่งมีคุณค่า น่าปราถนา หรือนำความสุขมาให้มีทั้งเป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ
ค่านิยมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้เช่นเดียวกันกับความเชื่อและมีความแตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรมค่านิยมส่วนใหญเนื่องมาจากความเชื่อ
ค่านิยมไทยใหม่จะมีลักษณะสากลมากขึ้น เช่น นิยมยกย่องวัตถุ ความมั่นคง ความหรูหราฟุ่มเฟือย ความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดมั่นในประเพณี ชื่นชมวัฒนธรรมตะวันตก และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือ อำนาจและเกียรติยศชื่อเสียง การดูแลรักษาสุขภาพด้วยโภชนาการ และการออกกำลังกาย
ค่านิยม 12 ข้อ : เราจะสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เข้มแข็ง คนต้องเข้มแข็งก่อน
ก่อนอื่นเรามาเกาะติดผลการประชุมอย่างเป็นทางการนัดแรกของซูเปอร์บอร์ดเมื่อวันพุธที่ผ่านมากันครับ คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้มีการเรียกประชุมอย่างเป็นทางการครั้งที่ 1/2557 ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นประธานพร้อมด้วยคณะกรรมการเข้าประชุมพร้อมเพรียง ผลการประชุมซูเปอร์บอร์ดสรุปไว้สั้นๆ ตามนี้เลยครับ
1. ซูเปอร์บอร์ดกำหนดความชัดเจนของอำนาจหน้าที่ว่า จะสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหา กำหนดนโยบาย และวางระบบกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถพัฒนาและวางรากฐานรัฐวิสาหกิจให้สามารถบริการประชาชนและร่วมในการพัฒนาประเทศต่อไปได้
2. ซูเปอร์บอร์ดร่วมกับกฤษฎีกาพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัยและดูแลรัฐวิสาหกิจได้ครอบคลุมทั้งระบบ
3. ซูเปอร์บอร์ดจะกำหนดระบบการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ ให้มีความโปร่งใสนำเป็นสากล
4. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ชุดเพื่อดำเนินการในรายละเอียดและนำเสนอซูเปอร์บอร์ด
1) ด้านการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจรายแห่งในองค์รวม โดยเน้นหนักไปที่ 10 แห่งที่มีผลขาดทุนต่อเนื่องเรื้อรัง
2) ด้านการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ เพื่อให้แผนการบริหารสินทรัพย์ของชาติมีการบริหารร่วมกันอย่างบูรณาการ
3) ด้านพัฒนาระบบกำกับรัฐวิสาหกิจ รวมถึงแนวทางการสรรหาคณะกรรมการ ผู้บริหาร การจัดซื้อจัดจ้าง ธรรมาภิบาล การตรวจสอบ การเงินและการลงทุน รวมถึงการประเมินผลและการสร้างระบบแรงจูงใจ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพต่อไป
เรื่องถัดมาที่น่าจับตาคือการวางโครงสร้าง คสช.และว่าที่รัฐบาลที่ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า โครงสร้างการบริหารประเทศในประมาณปีกว่าเกือบสองปีหลังจากนี้ จะมีรัฐบาลบริหารงานราชการแผ่นดิน คู่ขนานร่วมมือไปกับ คสช.ที่จะเน้นไปที่การดูแลความมั่นคงและสร้างความปรองดองเป็นหลัก แต่คสช.ก็ย้ำว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถถ่วงดุลกันและกันได้ โดยคสช.และรัฐบาลให้คำปรึกษาแก่กันและกัน คสช.ร่วมประชุมครม.ได้ตามวาระจำเป็น และคสช.ชงข้อเสนอให้ครม.พิจารณาได้
ในเรื่องการบริหารงานคู่ขนานนี้ หากฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างคล่องตัว คล่องแคล่ว โดยมีความสงบสุขไม่ต้องกังวลในเรื่องปัญหาความมั่นคง ฝ่ายบริหารก็จะติดปีกพัฒนาประเทศได้ ตัวอย่างสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปี 2553 ถึงแม้ว่าในปีนั้นจะมีวิกฤติการเมืองรุนแรงใจกลางเมืองหลวง กระทบต่อผลทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวมากมายมหาศาล เป็นเวลากว่าครึ่งปีแรกของรัฐบาลตอนนั้น ปลายปียังสามารถพลิกวิกฤติกลับมาจนเศรษฐกิจ โต 7.8% และอัตราการขยายตัวการส่งออก 28.5% นอกจากนี้ยังมีแผนกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลับมาช่วงครึ่งปีหลังอีกจนไทยสามารถฟื้นคืนชีพจากวิกฤติการเงินแฮมเบอร์เกอร์ที่ส่งผลกระทบมาจากสหรัฐฯ ได้เร็วเป็นอันดับที่ 2 รองจากไต้หวัน แต่หากไม่มีเรื่องทางการเมืองเลย ทางเราไม่อยากจะคิดเลยครับว่า จะเป็นการวางรากฐานพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้อีกแค่ไหน
รณีตัวอย่างดังกล่าวนี้สะท้อนได้ว่า หากคสช.จัดการเรื่องความมั่นคงของรัฐอยู่หมัดเหมือนตอนนี้ แล้วมีฝ่ายบริหารที่ "มืออาชีพ" ในทุกกระทรวง ถูกฝาถูกตัว ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นคนที่เชื่อถือได้ สร้างความมั่นใจให้ประเทศอย่างแท้จริงแล้ว ปี 2557 – 2559 ก็จะกลายเป็นปีทองของไทย
นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมจากใจจริงถึงท่านพลเอกประยุทธ์ หรือลุงตู่ของแม่ยกแฟนรายการคืนความสุขให้คนไทย ทุกคืนวันศุกร์ ต่อการตั้งค่านิยม 12 ข้อ และรณรงค์เอาไว้ว่า ...อยากจะเรียนว่าเราน่าจะกำหนดค่านิยมหลักของคนไทยขึ้นมาให้ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้เพื่อเราจะสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เข้มแข็ง ฉะนั้นคนต้องเข้มแข็งก่อนคนในชาติจะต้องเป็นอย่างไร ดังนี้
1.มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติในปัจจุบัน ทุกชาติจะพัฒนาได้หากเสาหลักหรือสถาบันหลักของชาติเข้มแข็งด้วยความรักอย่างถูกวิธีของคนในชาติ สมัยจอมพล ป.สถาบันชาติเข้มแข็งมาก แต่อาจจะไม่สมดุลในสถาบันอื่นๆ ส่วนสมัยจอมพลสฤษดิ์ สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็งมาก ในสมัยพลเอกประยุทธ์ เราหวังอย่างยิ่งที่จะเห็น 3 สถาบันหลักของชาติมีความเข้มแข็งอย่างสมดุลดีงาม ชาติบ้านเมืองสงบคนรักในความเป็นไทยและชาติของเรา พร้อมไปกับยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของศาสนาขัดเกลาใจคนมีคุณธรรม และยึดมั่นในการเคารพรักพร้อมทั้งเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้อยู่เหนือสิ่งใด
2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม เรื่องนี้สรุปได้สั้นๆว่า คนไทยต้องมีค่านิยมจิตสาธารณะ ซื่อสัตย์ไม่คดโกงไม่เอาเปรียบคนอื่น เสียสละเพื่อส่วนรวมไม่เห็นแก่ตัว อดทน และมีอุดมการณ์ต่อส่วนรวม จิตสำนึกนี้ใครเห็นใครก็ชม ตัวอย่างนี้ญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดี
3. กตัญญู ต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ข้อนี้มั่นใจว่าเป็นคุณลักษณะเด่นของคนไทยทุกยุคสมัยอยู่แล้ว
4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษา เล่าเรียน ทางตรงและทางอ้อม ประเทศชาติจะพัฒนาได้บุคลากรของคนในชาติต้องมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางวิชาการและทางทักษะความสามารถ คนในชาติมีปัญญามีความรู้ คนในชาติอีกส่วนก็สนับสนุนในภูมิปัญญาความรู้ของคนไทยด้วยกัน เพื่อสร้างค่านิยมใฝ่รู้ใฝ่เรียน เชิดชูคนมีปัญหาให้มากกว่าคนมีทรัพย์สินเงินตรา
5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม ข้อนี้ขอเถอะครับ อยากให้มันเด่นชัดออกมามากๆ จริงๆ เรามีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมากมายทัดเทียมระดับโลก เพราะบูรพกษัตริย์ของไทยแต่โบราณรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ เรื่องนี้สอดคล้องกับสถาบันหลักของชาติทั้งหมด ตอนดูภาพยนตร์เรื่อง Grace of Monaco ตะวันตกเขาร้องโอเปร่ากันจนโด่งดังข้ามความนิยมมาถึงเอเชีย ส่วนการแสดงของไทยเราอย่างโขน ปี่พาทย์ ก็อลังการชนะเลิศไปกว่ามากทีเดียว นอกจากนี้ประเทศของเราน่าจะมีหน่วยงานที่ดูแล National Treasure ทุกรูปแบบทั้งสถานที่ทั้งที่สร้างเองและธรรมชาติ สิ่งของที่ประดิษฐ์อย่างประณีตโดยคนในชาติเรา บุคคลสำคัญ รวมไปถึงหนังสือและองค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาติไทยเรา มารักษา ทำนุบำรุง สร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นงานลักษณะพัฒนาอย่างจริงจัง แล้วสร้างจุดขายเชิงรุกให้ประเทศ
6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน
7. เข้าใจ เรียนรู้ การเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง ย้ำว่า "ที่ถูกต้อง" นะครับ
8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่ คนไทยต้องซึมซาบจากการเข้าแถว เคารพในการมีระเบียบวินัย จะสร้างการเรียนรู้ไปถึงการเคารพบุคคลอื่น จากนั้นเราก็จะหนักแน่นในการเคารพกฎหมาย
9. มีสติ รู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่าย จำหน่าย และขยายกิจการ เมื่อมีความพร้อม โดยมีภูมิคุ้มกันที่ดี
เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เป็นการขัดแย้งกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่ฝ่ายไม่หวังดีจงใจโจมตี แต่เป็นการพยุงการเติบโตเศรษฐกิจในแต่ละการพัฒนาให้มีการเติบโตที่เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่หวือหวา แจกรถ ปลดหนี้ ให้บ้าน แบบที่รัฐบาลที่แล้วเพาะเชื้อเอาไว้
11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป ตามหลักของศาสนา ย้ำตรง "ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป" ตัวอย่างผ่านไปหมาดๆ กรณีผู้ว่าการรถไฟคนที่แล้ว
12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และต่อชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
ทั้งหมดนี้คือค่านิยมหลักของคนในชาติที่น่านำไปแต่งเป็นเพลงเหมือนเพลงวันเด็กที่เราท่องจำจนขึ้นใจ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ทำให้เด็กในยุคสมัยหนึ่งโตขึ้นมาด้วยการหล่อหลอมแบบนั้น เรื่องแบบนี้ ย้ำกันไปไม่เสียหายครับ หากคนไทยยึดมั่นตามค่านิยมชาติที่เน้นทั้งเรื่องการพัฒนาตัวเองทั้งในด้านความสามารถ ทั้งคุณธรรม ศีลธรรม เพื่อร่วมมือกันทำให้ชาติบ้านเมืองและส่วนรวมดีขึ้น เหล่านี้ล้วนดีทั้งนั้น เหล่านี้ล้วนยิ่งต้องเผยแพร่ให้ขึ้นใจ ให้ฝังใจ วันใดคนไทยเข้มแข็ง ชาติเราก็จะเข้มแข็ง
บทอาขยาน
นางสาว กัญญารัตน์ ล้ามกระโทก
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5/3 เลขที่9