1 of 19

การพัฒนาผลการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสมองเป็นฐาน

นางสาวประภัสสร แสงกล้า รหัส 55010512052 นิสิตชั้นปีที่ 4

สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

2 of 19

สภาพปัญหา

Instagram

สภาพปัญหาของการจัดการเรียนรู้พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากวิธีสอนที่มุ่งสอนตามเนื้อหาการสอนส่วนใหญ่เน้นการบรรยายให้ความรู้ ให้นักเรียนจดตามหนังสือและจำเนื้อหา ซึ่งไม่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเท่าที่ควร ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำและยังส่งผลไปถึงผลการสอบระดับชาติอย่าง O-NET ด้วย

3 of 19

ความมุ่งหมายของการวิจัย

Instagram

1. เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์

เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบ สมองเป็นฐาน ให้ได้ตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80

2. เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์

เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน

3. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนการทดสอบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ระหว่างก่อนและหลังเรียน

4. เพื่อศึกษาความคงทนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วย

แผนการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค

โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน

4 of 19

สมมติฐานการวิจัย

Instagram

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนกันทรวิชัย ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสมองเป็นฐาน เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

5 of 19

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

Instagram

1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกันทรวิชัย

สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 26 ภาคเรียนที่ 2

ปีการศึกษา 2558 จำนวน 5 ห้อง รวมทั้งสิ้น 144 คน

ซึ่งแต่ละห้องจัดไว้คละความสามารถ

2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 5

จำนวน 27 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม

(Cluster Random Sampling)

6 of 19

สาระการเรียนรู้

Instagram

การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สาระการเรียนรู้ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค โดยวิเคราะห์เป็น 3 หน่วยย่อยได้ดังนี้

1. พฤติกรรมการบริโภค จำนวน 1 แผน 2 ชั่วโมง

2. อุปสงค์และอุปทาน จำนวน 1 แผน 2 ชั่วโมง

3. ทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 1 แผน 2 ชั่วโมง

7 of 19

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย

Instagram

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 2 ชนิด ดังนี้

1. ตัวแปรต้น ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน

  1. ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

2.2 ผลการเรียนรู้และความคงทนในการเรียนรู้

ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย

ผู้วิจัยได้ดำเนินการทำวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558

8 of 19

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

Instagram

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้มี 2 ชนิด ดังนี้

1. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง

2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ

9 of 19

การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ

Instagram

1. ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตร เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

แล้วดำเนินการสร้างเครื่องมือตามที่กำหนดไว้

2. นำเครื่องมือเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

นำมาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ

ประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค

มีค่าเฉลี่ย 4.69 มีความเหมาะสมมาก และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียน มีค่า IOC 1.00 ทุกข้อ

3. นำไปทดลองกับนักเรียนที่ไม่ใช่นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง

แล้วนำมาปรับปรุงข้อบกพร่องที่พบ มีค่าความยาก 0.20-0.77 ค่าอำนาจจำแนก 0.20-0.60 ซึ่งข้อสอบใช้ได้ 33 ข้อ ใช้ไม่ได้ 12 ข้อ คัดข้อสอบไว้ 30 ข้อ หาค่าความเชื่อมั่นได้ .809 เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง

10 of 19

การเก็บรวบรวมข้อมูล

Instagram

ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้

1. ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบ เรื่อง พฤติกรรมการบริโภค ชนิดปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ แล้วตรวจให้คะแนนไว้

2. ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนไปทีและแผน จนครบทุกแผนพร้อมเก็บคะแนนระหว่างเรียนไว้

3. สอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบชุดเดิม

4. วัดความคงทนในการเรียนรู้ด้วยแบบทดสอบชุดเดิม

โดยเว้นระยะจากการทดสอบหลังเรียนไว้ 2 สัปดาห์

11 of 19

สรุปผลการวิจัย

Instagram

1. แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์

เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน ที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 86.94/82.22

ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 ที่กำหนดไว้

2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้

สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน มีค่าเท่ากับ 0.6956

คิดเป็นร้อยละ 69.56 แสดงว่า ผู้เรียนมีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนการทดสอบหลังเรียน

สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน

4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความคงทนในการเรียนรู้

12 of 19

การอภิปรายผล

Instagram

ผู้วิจัยได้นำประเด็นซึ่งเป็นผลของการวิจัย มาอภิปรายได้ดังนี้

1. แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน ที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 86.94/82.22 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 ที่กำหนดไว้ ที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้เนื่องมาจาก ผู้วิจัยได้สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนอย่างมีระบบจากการวิเคราะห์เนื้อหา สาระการเรียนรู้ หลักสูตรแกนกลางฯ2551 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา เอกสารการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และได้นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 3 แผน เสนออาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัยและนำเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินตรวจสอบคุณภาพความเหมาะสมอีกครั้งก่อนนำไปทดลองใช้ต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ จตุพร ภู่ศิริภิญโญ(2553 : 55-84) ได้ทำวิจัยเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ สาระเศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาพบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.17/84.68 สอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ

13 of 19

การอภิปรายผล(ต่อ)

Instagram

2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐาน มีค่าเท่ากับ 0.6956 คิดเป็นร้อยละ 69.56 ผู้เรียนมีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสมองเป็นฐาน เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นการจัดกิจกรรมที่มุงเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติจริง รู้จักฝึกฝนศึกษาค้นคว้าสร้างองค์ความรู้หรือผลงาน โดยการร่วมคิดร่วมทำและยังมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทําให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนความสามารถหรือทักษะมีการประยุกต์แนวคิดดังกล่าวมาจัดเป็นขั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ 8 ขั้น ซึ่งเป็นกิจกรรมประสมประสานระหว่างการใช้กระบวนการกลุมแผนผังความคิด ใบงานและเกม เป็นหลักการที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ลงมือทำเองได้ฝึกฝนซ้ำในเรื่องเดิม ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และจดจำได้แม่นยำ ทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ เพียรลัดดา นิลผาย(2555 : 56-83) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่อง ภูมิศาสตร์ประเทศไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า มีค่าค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6423

14 of 19

การอภิปรายผล(ต่อ)

Instagram

3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 เนื่องจากในระหว่างเรียนมีการทำกิจกรรมที่หลากหลายทั้ง 8 ขั้น จึงทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนเป็นอย่างดี และทำให้การทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นสูงกว่าก่อนเรียนจากร้อยละ 41.60 เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 82.22 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ จตุพร ภู่ศิริภิญโญ(2553 : 55-84) ได้ทำวิจัยเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวโยนิโสมนสิการ สาระเศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ น้ำฝน สิทธิศรี(2555 : 73-101) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน เรื่อง สารและการเปลี่ยนแปลง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

15 of 19

การอภิปรายผล(ต่อ)

Instagram

4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความคงทนในการเรียนรู้ เนื่องมาจากการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เป็นการสอนย้ำซ้ำทวนด้วยกิจกรรมหลากหลายทั้ง 8 ขั้น โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ถาวร เมื่อทดสอบอีกครั้งหลังเรียนแล้ว 2 สัปดาห์ ความจำนั้นยังคงอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ รัตติกาล เที่ยงกระโทก (2554 : 69-90) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ภาษาไทยด้านการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ผลการศึกษาพบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความคงทนในการเรียนรู้ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยด้านการอ่านด้วยการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนและเรียนไปแล้ว 15 วันไม่แตกต่างกันแสดงว่านักเรียนคงทนความรู้หลังเรียนได้ทั้งหมด และสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้าของ วิลาสินี ไชยปาน ( 2556 : 61-90 ) ได้ทำวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความคงทนในการเรียนรู้

16 of 19

ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้

Instagram

1. ผู้สอนต้องศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

2. ก่อนการเรียนการสอน ครูควรทดสอบก่อนเรียนเพื่อแยกระดับความสามารถของนักเรียนและจะได้มีการจัดกลุ่มนักเรียน

3. ครูผู้สอนควรตั้งคำถามให้กับผู้เรียนมาก ๆ เพื่อชี้นำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิดอย่างหลากหลายในการหาคำตอบ

4. ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูควรมีการสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินว่าวิธีการจัดการเรียนรู้ช่วยให้กลุ่มเพื่อนมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้นจริง

5. ครูควรนำผลจากการปฏิบัติงานกลุ่ม พร้อมทั้งบันทึกหลังสอน ไปปรับปรุงกิจกรรมกาเรียนการสอน ในแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป

17 of 19

ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ (ต่อ)

Instagram

6. ในการจัดสภาพของบรรยากาศชั้นเรียน ควรมีการจัดสภาพให้เหมาะสมในการเคลื่อนไหว การมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อน ให้มีบรรยากาศสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

7. ในด้านเนื้อหาที่ครูนำมาสอนนักเรียน ควรมีความหลากหลายและเป็นเนื้อหาที่นักเรียนสนใจ เช่น ข่าวสารในชีวิตประจำวัน วีดีทัศน์ เรื่องสั้น บทความ ฯลฯ

8. ในการประเมินผลการจัดกิจกรรม ถ้านักเรียนที่ยังไม่สามารถทำกิจกรรมสำเร็จในครั้งนั้นควรมีการฝึกการทำกิจกรรมซ้ำๆ หลายๆ ครั้งก็ได้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะที่ดีขึ้น

9. เมื่อสอนจบในแต่ละแผนต้องดำเนินการทดสอบย่อยหลังเรียน และเมื่อสอนจบครบทุกแผนแล้วดำเนินการสอนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

10. ผู้สอนควรนำรูปแบบการสอนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ไปใช้กับกิจกรรมการเรียนการสอนในเนื้อหาสาระอื่น ๆ

18 of 19

ข้อเสนอแนะในการวิจัยต่อไป

Instagram

1. ครูสังคมศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ควรนำแผนการจัดการเรียนรู้

สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องพฤติกรรมการบริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐานไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่นหรือห้องอื่นเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้

2. ครูสังคมศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ควรนำกิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐานไปสอนในสาระอื่นหรือเรื่องอื่น

3. ครูกลุ่มสาระอื่นควรนำกิจกรรมตามรูปแบบสมองเป็นฐานไปจัดการเรียนรู้กับเนื้อหาในกลุ่มสาระของตนและในชั้นอื่นๆที่เหมาะสม

19 of 19

จบการนำเสนอ