1 of 53

รูปแบบทัศนธาตุและแนวคิดในงานทัศนศิลป์

จุดประสงค์การเรียนรู้

  • อภิปรายเกี่ยวกับทัศนธาตุในด้านรูปแบบ และแนวคิดของงานทัศนศิลป์ที่เลือกมาได้

หน่วยการเรียนรู้ที่

ผู้สอน นายศักดา สีทา�โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม�สพม.พะเยา

2 of 53

ความรู้เกี่ยวกับทัศนธาตุ

3 of 53

สี

จุด

เส้น

น้ำหนัก

อ่อน - แก่

พื้นที่ว่าง

รูปร่าง

พื้นผิว

รูปทรง

สิ่งที่เป็นปัจจัยของการมองเห็นในผลงานทัศนศิลป์

ทัศนธาตุ

(Visual Element)

4 of 53

  • เมื่อใช้เส้นวาดรูปทรงขึ้นชิ้นหนึ่ง จะเกิดพื้นที่ว่างและรูปร่างขึ้นพร้อมกับเส้น เมื่อระบายสีลงในรูปทรงที่ใช้เส้นวาดนั้น ทัศนธาตุอื่นก็จะปรากฏขึ้นมาด้วย โดยมีทั้งเส้นที่เป็นขอบเขตของรูปทรง สี พื้นที่ว่าง น้ำหนักอ่อน-แก่ แม้แต่สีที่ระบายลงไปก็จะปรากฏให้เห็นในลักษณะหยาบ ละเอียด มัน หรือด้าน
  • ศิลปินนำทัศนธาตุมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน สื่อความหมายตามแนวคิด โดยนำมาประกอบเข้าด้วยกัน โดยอาศัยหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์
  • ศิลปินอาจใช้ทัศนธาตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าศิลปินจะใช้เพียงทัศนธาตุเดียวในการสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนธาตุอื่นๆ ก็จะปรากฏขึ้นเอง

5 of 53

  • กล่าวได้ว่าผลงานทัศนศิลป์จะมีทัศนธาตุเป็นองค์ประกอบสำคัญ คือ เมื่อมีรูปทรงของงานทัศนศิลป์ปรากฏขึ้น ทัศนธาตุทั้งหลายจะประสานและรวมตัวกันอยู่ในงานทัศนศิลป์นั้นอย่างครบถ้วน ดังนั้นหากจะทำการวิเคราะห์รูปแบบของทัศนธาตุในงานทัศนศิลป์ จำเป็นต้องแยกทัศนธาตุออกเป็นอย่างๆ ให้ง่ายต่อการศึกษาวิเคราะห์ จะได้เข้าใจแนวความคิดและวัตถุประสงค์ของศิลปินในการเลือกรูปแบบทัศนธาตุมาสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ชิ้นนั้น

6 of 53

ทรงเป็นประทีปฉายความรู้สู่เยาวชน”

(พ.ศ. ๒๕๕๑)

ผลงานของ พรชีวินทร์ มลิพันธุ์ ที่ภาพวาดสีนํ้ามันมีการจัดสมดุลของภาพที่เหมือนกัน

7 of 53

พื้นฐานการเรียนรู้

8 of 53

การรับรู้ทางการมองเห็น

  • การรับรู้ที่เกิดจากจักษุสัมผัส เป็นการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสอื่นๆ โดยใช้นัยน์ตาเป็นอวัยวะรับภาพและมีสมองทำหน้าที่แปลความหมายของภาพที่ได้รับมาจากการมองเห็น สามารถแบ่งออกได้ ๒ ลักษณะ

๑. การมอง

๒. การเห็น

9 of 53

การมอง (Looking)

  • อาการที่กระทำโดยไม่ได้ตั้งใจลงลายละเอียด แต่เป็นไปเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งในขณะนั้น
  • เช่น เวลาเราเดินข้ามถนน เป้าหมายของเราเป็นฝั่งตรงข้าม เราก็จะมองดูให้แน่ใจว่าไม่มีรถวิ่งผ่านมา ถนนว่าง เราจึงเดินข้าม การมองลักษณะนี้ถือเป็นการมองแบบธรรมดาผู้มองจะไม่ใส่ใจว่ารถที่ผ่านหน้าไปมีสีอะไร เป็นรถประเภทใด หรือมีคนนั่งทั้งสิ้นกี่คน เราจะไม่เก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ นอกจากรู้ว่ามีรถผ่านไป

10 of 53

การเห็น (Seeing)

  • กระบวนการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางตา สามารถจะบอกรายละเอียดสิ่งที่เห็นได้
  • การเห็นมีกระบวนการเก็บข้อมูลของสมองไปตามระดับการเห็น โดยอาจเป็นการเห็นแบบธรรมดาที่ไม่มีรายละเอียดมากนัก การเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ที่เป็นระดับการเห็นที่มีความทะลุปรุโปร่งมีความละเอียดลึกซึ้ง

11 of 53

ตัวอย่างประโยคที่ทำให้เราแยกความแตกต่างของ

การมอง กับ การเห็น ได้ชัดเจนขึ้น

มองไปที่ภาพวาดนั้น แล้วบอกว่าเห็นอะไรบ้าง

ลักษณะอาการ / การกระทำ

การรับรู้ / การเข้าใจ

12 of 53

ทฤษฎีการเห็น (Visual Theory)

  • การรับรู้ การเห็นของมนุษย์ถือเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ของจักษุสัมผัสที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่แต่ละบุคคล ทำให้เกิดการรับรู้ภาพที่ปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป สามารถอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีการเห็น ได้ ๔ ประการ

การเห็นรูปและพื้น

การเห็นแสงและเงา

การเห็นความเคลื่อนไหว

การเห็นตำแหน่งและสัดส่วน

13 of 53

การเห็นรูปและพื้น

การเห็นแสงและเงา

  • การเห็นรูปและพื้นเป็นองค์ประกอบแรกที่มนุษย์มองเห็น ภาพจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวัตถุเป็นรูปทรงและบริเวณรอบๆ เป็นพื้น แต่ละส่วนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเพ่งมองและให้ความสำคัญกับบริเวณใดของภาพ
  • การรับรู้ หรือมองเห็น บริเวณที่วัตถุมีหรือไม่มีแสงสว่างส่องกระทบมา คุณค่าของแสงและเงามีอิทธิพลต่อรูปทรงของวัตถุ แสงที่ตกกระทบลงบนวัตถุจะมีลักษณะและความเข้มของแสงแตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อความรู้สึกและการรับรู้ทางการเห็น ให้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เช่น สงบเงียบ นุ่มนวล เร้าใจ

14 of 53

แสงสุวรรณภูมิ (วัดพระศรีฯ)”

(พ.ศ. ๒๕๓๓)

ผลงานของปรีชาเถาทอง เป็นผลงานภาพพิมพ์ที่นำหลักของแสงเงามาใช้สร้างงานทัศนศิลป์ได้อย่างสวยงาม

15 of 53

การเห็นความเคลื่อนไหว

การเห็นตำแหน่งและสัดส่วน

  • การรับรู้หรือมองเห็น จากวัตถุมีการเคลื่อนไหว จะมองเห็นวัตถุเคลื่อนที่ในลักษณะที่รวดเร็ว หรือเชื่องช้า แต่ถ้าตัวเราเป็นผู้เคลื่อนไหวเอง จะเห็นภาพของวัตถุมีการเปลี่ยนขนาดและรูปทรงไปตามมุม หรือทิศทางที่เราเคลื่อนไหว
  • ระยะห่างของตำแหน่งใกล้ - ไกล มีผลต่อการรับรู้หรือมองเห็นขนาดและสัดส่วนของวัตถุ รวมไปถึงความชัดเจนและความพร่ามัวของภาพ

16 of 53

“Cats”

ผลงานของประหยัด พงษ์ดำ ที่ให้บรรยากาศฉากหลังเป็นแมวหลายขนาด

บ่งบอกถึงตำแหน่งที่อยู่ใกล้ - ไกล

17 of 53

รูปแบบทัศนธาตุในงานทัศนศิลป์

18 of 53

รูปแบบของทัศนธาตุ

  • ทัศนธาตุ (Visual Element) เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นโครงสร้างของงานทัศนศิลป์ หรือที่ปรากฏในงานออกแบบ หรือหมายถึง สิ่งที่เป็นปัจจัย หรือส่วนประกอบสำคัญในผลงาน เราสามารถจะเห็นได้เป็นเบื้องต้น ประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ คือ

รูปร่าง

เส้น

สี

พื้นที่ว่าง

น้ำหนักอ่อน-แก่

พื้นผิว

จุด

รูปทรง

ทัศนธาตุ

19 of 53

จุด (Point, Dot)

  • เป็นทัศนธาตุอันดับแรก ไม่มีมิติ แต่เมื่อนำมาเรียงต่อกัน จะทำให้เกิดเป็นเส้น และถ้านำจุดหลายๆ จุด มารวมกลุ่มกันอย่างหนาแน่นก็จะเกิดเป็นรูปร่าง หรือการรวมกันของจุดที่มีน้ำหนักและปริมาตรก็จะเกิดรูปทรงต่างๆ ขึ้น

.....................................................................................

20 of 53

เส้น (Line)

  • เป็นทัศนธาตุที่สำคัญที่สุด เป็นแกนของงานทัศนศิลป์ทุกแขนงและเป็นพื้นฐานโครงสร้างของสิ่งต่างๆ ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกแก่ผู้ชม โดยเป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอกถึงขนาด ลักษณะและทิศทาง

เส้น

มี ๒ ลักษณะ

เส้นตรง

เส้นโค้ง

  • ส่วนเส้นลักษณะอื่นๆ เกิดจากการประกอบกันของเส้นตรง และเส้นโค้ง เช่น เส้นหยิกฟันปลา ที่เกิดจากการนำเส้นตรงมาประกอบกัน

21 of 53

รูปร่าง (Shape)

รูปทรง (Form)

รูปร่าง

รูปทรง

เป็นรูปธรรมของการแสดงออก

เพื่อสื่อความหมายในงานทัศนศิลป์

โดยทั่วไป

คำสองคำนี้

มักจะใช้คู่กัน

เพราะมีความหมายใกล้เคียงกัน

แต่ในทางทัศนศิลป์

จะมีความหมายแตกต่างกัน

  • เป็นภาพ ๒ มิติ คือ มีความกว้างและความยาว มีเนื้อที่ภายในเส้นขอบเขต
  • เป็นภาพ ๓ มิติ คือ มีความกว้าง ความยาว ความหนา เนื้อที่ และปริมาตร มีการก่อรูปรวมตัวกันขึ้นเป็นผลงานทัศนศิลป์

22 of 53

น้ำหนักอ่อน - แก่ (Tone)

  • ความอ่อน - แก่ของบริเวณที่ถูกแสงสว่าง และบริเวณที่เป็นเงาของวัตถุ จะทำให้เกิดปริมาตรของรูปทรง และอารมณ์ความรู้สึกต่อความอ่อน-แก่ที่รับรู้

พื้นที่ว่าง (Space)

  • พื้นที่ว่าง คือ บริเวณที่อากาศที่โอบล้อมรูปทรง หรือระยะห่างระหว่างรูปทรง หรือที่เรียกว่า “ช่องไฟ” ที่ว่างจะอยู่คู่กับรูปทรงโดยเป็นคู่ที่มีความหมายตรงข้ามกัน หรือขัดแย้งกันกับรูปทรง แต่ก็มีส่วนช่วยทำให้รูปทรง มีความเด่นชัดมากขึ้น

23 of 53

“เสือขบม้าคืนฝนดาวตก”

ผลงานของถวัลย์ ดัชนี ที่ใช้นํ้าหนักของสีขาว - ดำ พื้นที่ว่างสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างมีพลัง

24 of 53

พื้นผิว (Texture)

การชม มีอารมณ์แตกต่างไปจากการชมภาพที่วาดบนผืนผ้าใบ

  • ลักษณะพื้นผิวของสิ่งต่างๆ เช่น หยาบ ด้าน มัน ละเอียด เนียน ขรุขระ พื้นผิวจะมีผลต่อการรับรู้จากการมองเห็นและการสัมผัส พื้นผิวของงานทัศนศิลป์มีทั้งพื้นผิวตามธรรมชาติและเกิดจากการกระทำของศิลปิน

ดังเช่นผลงานของวิโชค มุกดามณี

ลักษณะของพื้นผิวที่ใช้โลหะ ให้ความรู้สึกในการชม

มีอารมณ์แตกต่างไปจากการชมภาพที่วาดบนผืนผ้าใบ

25 of 53

สี (Color)

มีคุณสมบัติของตัวเอง

ในเรื่องของความเข้มหรือระดับสี

โดยจะมีลักษณะเฉพาะ

ที่ให้ความรู้สึกทั้งในด้านดีและไม่ดี

ตามลักษณะของสีแต่ละสี

และอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรม

สีจึงช่วยทำให้ผู้พบเห็นเกิดการรับรู้

และสามารถจำแนกทัศนธาตุอื่นๆ ได้ง่าย

26 of 53

การวิเคราะห์ทัศนธาตุในงานทัศนศิลป์

  • ทัศนธาตุ (Visual Element) เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นโครงสร้างของงานทัศนศิลป์ หรือที่ปรากฏในงานออกแบบ หรือหมายถึง สิ่งที่เป็นปัจจัย หรือส่วนประกอบสำคัญในผลงาน เราสามารถจะเห็นได้เป็นเบื้องต้น ประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ คือ
  • การสร้างงานทัศนศิลป์ เป็นการนำทัศนธาตุต่างๆ มาประกอบกัน ให้เกิดรูปทรงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย
  • โดยทั่วไป ศิลปินจะเลือกใช้ทัศนธาตุรวมกันหลายๆ อย่าง โดยมีทัศนธาตุบางอย่างเป็นจุดเด่นและทัศนธาตุอื่น เป็นจุดรอง

27 of 53

  • การวิเคราะห์ทัศนธาตุในผลงานทัศนศิลป์ตามที่สายตาเรามองเห็น โดยพิจารณาจากความเป็นเอกภาพ หมายถึง ความสัมพันธ์ต่อเนื่องของส่วนประกอบต่างๆ โดยที่สิ่งเหล่านั้นจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันเป็นอย่างดี แต่ถ้าเราให้สิ่งดังกล่าวแข่งกันแสดงจุดเด่น ก็ย่อมเป็นการทำลายความเป็นเอกภาพ

เอกภาพของเส้น

เอกภาพของรูปร่างและรูปทรง

เอกภาพของที่ว่าง

เอกภาพของน้ำหนักอ่อน - แก่

เอกภาพของพื้นผิว

เอกภาพของของสี

28 of 53

เอกภาพของเส้น

การใช้เส้นแบบขัดแย้ง

การใช้เส้นแบบประสาน

  • เส้น คือ จุดจำนวนมากที่นำมาเรียงติดต่อเชื่อมโยงกัน ดังนั้น การใช้เส้นในงานทัศนศิลป์จะต้องคำนึงถึงความเป็นเอกภาพด้วย ซึ่งลักษณะของความเป็นเอกภาพของเส้น มีดังนี้

29 of 53

  • เส้นจะมีลักษณะ ทิศทาง และขนาดที่แตกต่างกัน ซึ่งการใช้เส้นแบบขัดแย้งให้มีเอกภาพสามารถทำได้โดยนำเส้นที่มีลักษณะทิศทาง และขนาดที่แตกต่างกันมาใช้ร่วมกันเพื่อให้งานทัศนศิลป์นั้นเกิดความสมดุล

การใช้เส้นแบบขัดแย้ง

ลักษณะเส้นที่ขัดแย้งกัน

ทิศทางเส้นที่ขัดแย้งกัน

ขนาดเส้นที่ขัดแย้งกัน

30 of 53

  • เส้นมีลักษณะทิศทางและขนาดที่ซ้ำกัน สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวและจังหวะที่เกิดขึ้นได้

การใช้เส้นแบบประสาน

การซ้ำของเส้นตั้ง ทำให้เกิดจังหวะ

และความเคลื่อนไหว

การซ้ำของเส้นนอน ให้จังหวะ

และความเคลื่อนไหวอีกลักษณะหนึ่ง

การซ้ำของเส้นลูกคลื่น

ให้ความเคลื่อนไหวและจังหวะที่ต่อเนื่อง

31 of 53

การใช้รูปร่างและรูปทรงแบบขัดแย้ง

การใช้รูปร่างและรูปทรงแบบประสาน

  • รูปร่างและรูปทรงเป็นทัศนธาตุหลักของการรับรู้ ลักษณะของความเป็นเอกภาพของรูปร่างและรูปทรง มีดังนี้

เอกภาพของรูปร่างและรูปทรง

32 of 53

  • การใช้ลักษณะของรูปร่างและรูปทรงที่แตกต่างกัน เช่น แตกต่างกันทางความกว้าง ความแคบ ความใหญ่ ความกลม ความเหลี่ยม ความเรียบง่าย ความซับซ้อน

ลักษณะขัดแย้งกันระหว่าง

ความเรียบง่ายกับความซับซ้อน

ขนาดขัดแย้งกัน

ทิศทางขัดแย้งกัน

การใช้รูปร่างและรูปทรงแบบขัดแย้ง

33 of 53

  • เป็นการนำรูปร่างและรูปทรงที่มีแบบเหมือนกันมาซ้ำลงในงาน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพขึ้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดและทิศทาง ถ้าใช้รูปร่างและรูปทรงแบบขัดแย้งมาผสมกันแบบประสาน จะทำให้มีความเป็นเอกภาพมากขึ้น และช่วยให้เราสามารถกำหนดจุดเด่นของผลงานได้ง่าย

การซ้ำ

การเปลี่ยนแปรของขนาด

การเปลี่ยนแปรของทิศทาง

ความเด่นเกิดจากรูปร่าง

ความเด่นเกิดจากทิศทาง

การใช้รูปร่างและรูปทรงแบบประสาน

34 of 53

เอกภาพของที่ว่าง

  • ในที่นี้ความหมายของที่ว่าง คือ อากาศที่โอบล้อมรูปทรง และระยะห่างระหว่างรูปร่างและรูปทรง หรือที่เรียกกันว่า “ช่องไฟ” ซึ่งจะขัดแย้งหรือประสานกันก็ได้ ความเป็นเอกภาพจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อพื้นที่ว่างกับรูปร่างและรูปทรง มีการจัดวางอย่างเหมาะสมลงตัว

35 of 53

เอกภาพของน้ำหนักอ่อน - แก่

การใช้น้ำหนักแบบขัดแย้ง

การใช้น้ำหนักแบบประสาน

  • วิธีการใช้น้ำหนักอ่อน - แก่ให้มีเอกภาพ คือ การใช้น้ำหนักความอ่อน - แก่ของสีดำและสีขาว ซึ่งลักษณะของความเป็นเอกภาพของน้ำหนักอ่อน - แก่ มีดังนี้

36 of 53

การใช้น้ำหนักแบบขัดแย้ง

  • การตัดกันของสีดำบนสีขาว เป็นการขัดแย้งกันอย่างมากของน้ำหนัก ส่วนการตัดกันของสีเทาแก่กับสีขาวหรือสีเทาอ่อนกับสีดำ เป็นการตัดกันที่น้อยกว่าของน้ำหนัก

การตัดกันของสีดำกับสีขาว

การตัดกันของสีเทาอ่อนกับสีดำ

การตัดกันของสีเทาแก่กับสีขาว

37 of 53

การใช้น้ำหนักแบบประสาน

  • การใช้น้ำหนักของสีดำกระจายไปบนที่ว่างสีขาว จะได้เอกภาพของน้ำหนักแบบการซ้ำ และเมื่อเราใช้สีเทาแก่ หรือสีเทาอ่อนเชื่อมประสานกันก็จะเกิดความเป็นเอกภาพมากขึ้น

การตัดกันของสีดำกับสีขาว

การตัดกันของสีเทาแก่กับสีขาว

38 of 53

เอกภาพของพื้นผิว

  • โดยมากแล้วลักษณะพื้นผิวจะปรากฏอยู่ในเส้น น้ำหนักอ่อน - แก่ และสี ซึ่งจะช่วยเน้นทัศนธาตุอื่นๆ ให้มีความโดดเด่นมากขึ้น

  • ลักษณะพื้นผิวในงานทัศนศิลป์ มีทั้งแบบที่ขัดแย้งกันและแบบประสานกัน ถ้าใช้ลักษณะพื้นผิวแบบขัดแย้ง ก็ต้องกำหนดพื้นผิวของสิ่งต่างๆ ให้ตัดกัน เช่น ความหยาบกับความละเอียด ความขรุขระกับความเรียบความมันกับความด้าน

การใช้ลักษณะผิวโดยวิธีขัดแย้ง

39 of 53

การใช้สีแบบขัดแย้ง

เอกภาพของสี

  • สีมีคุณลักษณะที่พิเศษนอกเหนือไปจากทัศนธาตุอื่น ๒ ประการ คือ ความเป็นสี (Hue) เช่น ความเป็นสีแดง ความเป็นสีเหลือง และความเข้มจัดของสี (Intensity) ดังนั้น การใช้สีให้มีเอกภาพต้องคำนึงถึงคุณลักษณะพิเศษทั้ง ๒ ประการ คือ

การใช้สีแบบประสาน

40 of 53

เอกภาพของสี

การใช้สีแบบขัดแย้ง

  • การขัดแย้งของสีจะมีความเด่นชัดกว่าความขัดแย้งของทัศนธาตุอื่น สีคู่ตรงข้ามในวงสีธรรมชาติเป็นสีที่ตัดกันอยู่แล้ว
  • ส่วนการตัดกันของสีที่ไม่ใช่คู่ตรงข้ามในวงสีธรรมชาติ ถ้าเป็นการตัดกันของสีที่มีความจัดมาก จะมีความขัดแย้งกันมากกว่าสีที่มีความจัดน้อย และยิ่งสีหม่นลงเท่าใด ความขัดแย้งก็จะยิ่งลดลงมาก จะกลายเป็นความกลมกลืนกันในที่สุด

41 of 53

เอกภาพของสี

การใช้สีแบบประสาน

  • การใช้สีแบบประสาน คือ การใช้สีสีเดียว โดยมีน้ำหนักอ่อน - ใกล้เคียงกันในวงสีธรรมชาติ หรือใช้สีที่มีความหม่นเท่าๆ กัน ก็จะทำให้ผลงานดูประสานกลมกลืน

42 of 53

“๙ จากจินตนาการ”

(พ.ศ. ๒๕๔๘)

ผลงานของเจริญ มาบุตร มีจุดเด่นที่นำเอาสีที่มีนํ้าหนักอ่อน -แก่ มาสร้างสรรค์เป็นภาพได้อย่างลงตัวและมีความหมาย

43 of 53

แนวคิดในงานทัศนศิลป์

44 of 53

แนวคิดการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์

  • แนวคิดเป็นหัวใจของการทำงานและกำหนดแนวทางปฏิบัติ รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงานนั้นไปพร้อมๆ กัน
  • การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของมนุษย์ในแต่ละครั้ง ย่อมเกิดจากสิ่งเร้า หรือแรงบันดาลใจ
  • ถ้าได้รับแรงบันดาลใจจากภายนอก รูปแบบของงานศิลปะที่ถ่ายทอดจะมีลักษณะเป็นรูปธรรม ถ้าเป็นแรงบันดาลใจจากภายใน รูปแบบของงานศิลปะก็จะมีลักษณะเป็นนามธรรม
  • ถ้าหากได้รับแรงบันดาลใจทั้งภายนอกและภายใน รูปแบบของงานศิลปะที่ถ่ายทอดออกมาก็จะมีลักษณะเป็นกึ่งนามธรรม

45 of 53

หลักการวิเคราะห์แนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์

ในวัตถุประสงค์ของผลงาน

  • ผู้สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์จะต้องศึกษาวัตถุประสงค์ของงานนั้นอย่างละเอียด เพื่อผลงานทัศนศิลป์จะได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

ในเทคนิคของการทำงาน

ในคุณค่าทางสุนทรียภาพ

  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะแต่ละงานจะใช้เครื่องมือ วัสดุ และกระบวนการทำงานที่มีความแตกต่างกันออกไป
  • มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสุนทรียภาพ ใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์รูปแบบทัศนธาตุในงานทัศนศิลป์

46 of 53

หลักการวิเคราะห์แนวคิดงานทัศนศิลป์

  • เป็นการมอง หรือการรับรู้ในสิ่งที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาหลังจากที่ผลงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว

หลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์แนวคิดในผลงานทัศนศิลป์

วิเคราะห์จุดมุ่งหมาย

วิเคราะห์รูปแบบและรูปทรง

วิเคราะห์การใช้วัสดุและเทคนิค

วิเคราะห์แนวคิด

ในการถ่ายทอดอดีตและปัจจุบัน

47 of 53

ตัวอย่างการวิเคราะห์

ทัศนธาตุและแนวคิดในงานทัศนศิลป์

48 of 53

กระท่อม (Cottages)

(ค.ศ. ๑๘๙๐)

ฟินเซนต์ วิลเลียม ฟาน ก็อกฮ์ (Vincent Willem Van Gogh)

ชื่อภาพ

ศิลปิน

49 of 53

จุดมุ่งหมายจากการวิเคราะห์

  • เป็นงานทัศนศิลป์ประเภทที่มิได้มีจุดมุ่งหมายในการแสดงออกแบบเหมือนจริง หรือการรับรู้ตามการเห็นจริงเท่านั้น แต่ยังมีจุดมุ่งหมายเชิงอารมณ์ในการแสดงออกเป็นจุดสำคัญด้วย

  • ศิลปินได้นำเอาลักษณะเส้น น้ำหนักอ่อน-แก่ สี รูปร่าง และรูปทรงมาผสมผสานกัน แล้วนำมาจัดเป็นโครงสร้างของภาพที่มีความเป็นเอกภาพและความสมดุล โดยเน้นเส้นเป็นหลัก ชี้ให้เห็นถึงจังหวะและความเคลื่อนไหวที่มีความลื่นไหลและสั่นพลิ้ว โดยการใช้เส้นที่เกิดจากรอยแปรง ทำให้เกิดเป็นลักษณะพื้นผิวที่มีความแตกต่างกันทั่วทั้งภาพ

  • ความเป็นเอกภาพของงานทัศนศิลป์ชิ้นนี้ เกิดจากการนำรูปแบบทัศนธาตุมาสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดลีลาในการเคลื่อนไหวที่มีความกลมกลืน ซึ่งเกิดจากแนวคิดของศิลปินที่มีจุดมุ่งหมายให้ผลงานชิ้นนี้บ่งบอกคุณค่าทางอารมณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกมากกว่าสิ่งอื่นใด

50 of 53

ภาพหุ่นนิ่ง (Still Life)

(ค.ศ. ๑๘๗๙)

ปอล เซซาน (Paul Cezanne)

ชื่อภาพ

ศิลปิน

51 of 53

  • เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการใช้ค่าน้ำหนักอ่อน - แก่ของแสง และสี โดยน้ำหนักของแสงจะมีส่วนมืดและสว่าง เป็นความขัดแย้งที่มีสัดส่วนกลมกลืน ส่วนสีของผลส้มมีความเป็นเอกภาพของสีที่อยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งการจัดวางของที่ประกอบไปด้วยขวด ผลส้ม ถ้วยชาม ผืนผ้า มีพื้นที่ว่างและมีระยะห่างที่ได้จังหวะ ทำให้เกิดช่องไฟระหว่างรูปทรงแต่ละส่วนเอกภาพของรูปทรง เป็นแบบประสานกลมกลืน สีที่ศิลปินระบายลงไปทำให้เกิดพื้นผิวตามรอยแปรงและพู่กัน ช่วยสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึกประทับใจของศิลปินในขณะนั้น

  • ศิลปินสร้างสรรค์ภาพนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอแสงเงาของรูปทรงในลักษณะเหมือนจริง โดยถ่ายทอดความงามของรูปทรงจากธรรมชาติและน้ำหนักอ่อน-แก่ของสีและแสงที่สื่อถึงความสงบนิ่ง มีแนวคิดของการถ่ายทอดสิ่งของที่ปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยกระบวนการของการถ่ายโอนลงบนพื้นระนาบด้วยรูปร่าง ๒ มิติ แล้วเพิ่มมิติที่ ๓ ด้วยค่าน้ำหนักอ่อน-แก่ให้มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นเอกภาพ

จุดมุ่งหมายจากการวิเคราะห์

52 of 53

ผู้ชายเปลือยนั่ง

(Homme Nu Assis)

(ค.ศ. ๑๙๐๘)

ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso)

ชื่อภาพ

ศิลปิน

53 of 53

  • ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงรูปทรง น้ำหนัก และปริมาตรในพื้นที่ระนาบ โดยทัศนธาตุทั้งหมดสามารถผสมผสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งศิลปินได้ใช้กระบวนการในการถ่ายทอดภาพลักษณ์ธรรมชาติมาสู่ลักษณะแบบกึ่งนามธรรม แสดงให้เห็นว่าศิลปินมีความรู้ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของคนเป็นอย่างดี

  • ศิลปินสร้างสรรค์ภาพนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดคุณค่าทางสุนทรียภาพในระดับสูง โดยใช้ทัศนธาตุ ได้แก่ เส้น รูปร่าง และสีมาประสานกัน ซึ่งความเป็นเอกภาพของเส้นสามารถเกิดขึ้นได้ แม้ว่าทิศทางของเส้นจะขัดแย้งกันก็ตาม โดยเส้นได้ถูกใช้ในการแสดงขอบเขตของรูปทรงที่ถูกแบ่งตามลักษณะของอวัยวะแต่ละส่วน ในภาพนี้เส้นและรูปทรงมีความประสานกลมกลืนกันจนแยกไม่ออก และลักษณะพื้นผิวเกิดจากเนื้อสีที่ระบายลงไปทั้งในส่วนของรูปและส่วนของพื้นหลัง

  • ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของเส้น น้ำหนักอ่อน-แก่ ความเข้มของสี และระดับของสี ซึ่งรูปทรงมีทั้งที่เป็นทรงกลม ทรงกระบอกรูปสี่เหลี่ยม และรูปทรงอิสระที่ประกอบกันได้อย่างกลมกลืน

จุดมุ่งหมายจากการวิเคราะห์