1 of 6

วรรณศิลป์ไทย

การเล่นเสียง

2 of 6

การเล่นเสียง

การเล่นเสียง คือการเลือกสรรคำสัมผัสมาใช้ในคำประพันธ์ มีทั้งเสียงสัมผัสพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ให้พิเศษกว่าปกติ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนองที่ไพเราะเมื่ออ่านออกเสียง และเพื่ออวด

ฝีมือของกวี การเล่นเสียงมีอยู่ด้วยกัน ๓ ชนิด ได้แก่

3 of 6

การเล่นเสียงพยัญชนะ

การเล่นเสียงพยัญชนะ คือการใช้สัมผัสพยัญชนะ (หรือสัมผัสอักษร) หลายพยางค์ติดกัน เพื่อความไพเราะ เช่น

“ไผ่ซออ้อเอียดเบียดออด ลมลอดไล่เลี้ยวเรียวไผ่

ออดแอดแอดออดยอดไกว แพใบไล้น้ำลำคลอง”

4 of 6

การเล่นเสียงสระ

คือการใช้สัมผัสสระหลายพยางค์ติดๆ กัน แบ่งได้ ๒ ประเภทคือ สัมผัสนอกและสัมผัสใน การเล่นสัมผัสนอกนั้นเป็นไปตามข้อบังคับของ

ฉันทลักษณ์อยู่เล้ว เช่น

“งาหนึ่งเจ็ดโบกขรณี สระหนึ่งย่อมมี

เจ็ดกออุบลบันดาล”

5 of 6

การเล่นเสียงสระ (ต่อ)

สัมผัสใน เป็นการเล่นคำที่เป็นลีลา เป็นส่วนที่ทำให้เกิดเสียงพิเศษที่ไพเราะ

และสะเทือนอารมณ์ ซึ่งเป็นส่วนที่กวีใช้อวดฝีมือตนเอง เช่น

“จะคลอดบุตรสุดปวดให้รวดร้าว ตึงหัวหน่าวเหน็ดเหนื่อยเมื่อยต้นขา

แสนห่องห้อยพรอยพรายพร่างสายตา จะเรียกหาขุนช้างให้หมางใจ”

6 of 6

การเล่นเสียงวรรณยุกต์

คือการใช้คำไล่ระดับเรียงตามการผันวรรณยุกต์ไทย ๒ หรือ ๓ ระดับติดกัน

เป็นชุดๆ เป็นการเล่นเสียงแบบที่ทำได้ยากที่สุด เพราะนอกจากจะเล่นเสียงแล้ว

ยังต้องคำนึงถึงความหมาย ไม่ให้ผิดเพี้ยนอีกด้วย เช่น

จิบจับเจาเจ่าเจ้า รังมา

จอกจาบจั่นจรรจา จ่าจ้า

เค้าค้อยค่อยคอยหา เห็นโทษ

ซอนซ่อนซ้อนสริ้วหน้า นิ่งเร้าเอาขวัญ”