Part of speech คืออะไร

Part of speech คือการแบ่งชนิดของคำตามหลักแกรมม่า โดยอิงบทบาทหน้าที่ของคำเป็นหลัก เช่น คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ ฯลฯ

การรู้ part of speech จะทำให้เราสามารถเข้าใจและใช้คำภาษาอังกฤษได้ถูกต้องมากขึ้น

Part of speech 8 ชนิด

Part of speech แบ่งได้เป็น 8 ชนิด คือ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ คำบุพบท คำเชื่อม และคำอุทาน

(บางที่อาจแบ่ง part of speech ออกเป็น 9 ชนิด โดยจะมี determiner อย่างเช่น a, an, the, these, that, those, enough, few เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิด)

1. Noun (คำนาม)

Noun (ตัวย่อ n.) คือคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างเช่น ความสุข

ยกตัวอย่าง noun เช่น

ตัวอย่าง noun ในประโยค

Noun ทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน กรรม และส่วนเติมเต็มในประโยค

Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)

Susie can write very fast.

ซูซี่เขียนได้ไวมาก

My father is a doctor.

พ่อของฉันเป็นหมอ

Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)

I bought a new car last month.

ฉันซื้อรถใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว

John rides a bicycle every weekend.

จอห์นขี่จักรยานทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์

Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)

My cousin is a student.

ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป็นนักเรียน

All I want is happiness.

สิ่งที่ฉันต้องการก็มีเพียงแค่ความสุข

จากตัวอย่าง ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น

2. Pronoun (คำสรรพนาม)

Pronoun คือคำที่ใช้แทน noun อย่างเช่น I, you, he, she, it, we, they

ในภาษาอังกฤษ เราจะนิยมใช้ pronoun แทนคำนามที่เคยกล่าวถึง เพื่อความสะดวกและความกระชับ อย่างในประโยค John is my friend. He lives in the same town with me. คำว่า he ในที่นี้ก็หมายถึง John นั่นเอง

Pronoun มีหลายรูป ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น เราจะใช้คำว่า he เป็นประธานของประโยค แต่ถ้าใช้เป็นกรรม เราจะต้องใช้คำว่า him แทน

John is my friend. I live in the same town with he.

John is my friend. I live in the same town with him.

ตารางด้านล่างนี้แสดงให้เห็นถึงรูปต่างๆของ pronoun แต่ละตัว (ทุกคอลัมน์จะเป็น pronoun หมด ยกเว้นคอลัมน์ที่ 3 ที่เป็น adjective)

Pronoun ทำหน้าที่เป็นประธาน

Pronoun ทำหน้าที่เป็นกรรม

Adjective แสดงความเป็นเจ้าของ

Pronoun แสดงความเป็นเจ้าของ

Pronoun สะท้อน

I

Me

My

Mine

Myself

You

You

Your

Yours

Yourself/Yourselves

He

Him

His

His

Himself

She

Her

Her

Hers

Herself

It

It

Its

Its

Itself

We

Us

Our

Ours

Ourselves

They

Them

Their

Theirs

Themselves

ตัวอย่าง pronoun ในประโยค

Pronoun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subjective pronoun)

I want to be an engineer.

ฉันอยากเป็นวิศวกร

She is my girlfriend.

เธอเป็นแฟนของฉัน

Pronoun ทำหน้าที่เป็นกรรม (objective pronoun)

Anne went to the park with him.

แอนไปสวนสาธารณะกับเขา

You can tell us about your problem.

คุณเล่าปัญหาของคุณให้พวกเราฟังได้นะ

Pronoun แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive pronoun)

ความต่างของ adjective และ pronoun แสดงความเป็นเจ้าของก็คือ pronoun แสดงความเป็นเจ้าของไม่ต้องมี noun ตามหลัง อย่างเช่น This is my pen. -> This pen is mine.

Those pens are mine.

ปากกาพวกนั้นเป็นของฉัน

Is this bag yours or hers?

กระเป๋าใบนี้เป็นของคุณหรือของเธอ

Pronoun สะท้อน (reflexive pronoun)

เราจะใช้ pronoun สะท้อนเมื่อผู้ที่กระทำและผู้ที่ได้รับผลจากการกระทำเป็นคนเดียวกัน

I hurt myself while I was cutting an apple.

ฉันทำตัวเองเจ็บในขณะที่ฉันกำลังหั่นแอปเปิ้ล

She does the makeup herself.

เธอแต่งหน้าด้วยตัวเธอเอง

3. Verb (คำกริยา)

Verb (ตัวย่อ v.) คือคำที่ใช้แสดงการกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้น หรือสภาวะ เช่น eat, feel, is, am, are

Verb หลักและ verb ช่วย

Verb แบ่งหลักๆได้เป็น 2 ชนิด คือ verb หลัก (main verb) และ verb ช่วย (helping verb)

Verb หลัก คือ verb ที่เป็นใจความหลักของประโยค ส่วน verb ช่วย คือ verb ที่ช่วยเสริมเติมแต่งความหมายของ verb หลัก

ยกตัวอย่างประโยค I can swim. ซึ่งแปลว่า ฉันสามารถว่ายน้ำได้ คำว่า swim จะถือเป็น verb หลัก ส่วนคำว่า can จะถือเป็น verb ช่วย ซึ่งในประโยคนี้ can จะเข้าไปเสริมความหมายของคำว่า swim ให้เห็นว่าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้

อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น I am going to the school. ซึ่งแปลว่า ฉันกำลังไปโรงเรียน คำว่า going จะถือเป็น verb หลัก ส่วนคำว่า am จะถือเป็น verb ช่วย ซึ่งในประโยคนี้ am จะเข้าไปเสริมความหมายของคำว่า going ให้เห็นว่าเรากำลังทำสิ่งนั้นๆอยู่ (ซึ่งก็คือรูป present continuous tense นั่นเอง)

จากตัวอย่างเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่า verb ช่วยจะอยู่หน้า verb หลักเสมอ

ทั้งนี้ ประโยคที่สมบูรณ์จะต้องมี verb หลัก แต่ไม่จำเป็นต้องมี verb ช่วย อย่างเช่น Everyone loves chocolate. ซึ่งแปลว่า ทุกคนชอบช็อคโกแลต ประโยคนี้จะมีแค่ verb หลักเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือคำว่า loves

ตัวอย่าง verb ในประโยค

ประโยคที่มีแต่ verb หลัก

I read books every day.

ฉันอ่านหนังสือทุกวัน

He is a scientist.

เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์

ประโยคที่มีทั้ง verb หลักและ verb ช่วย (verb ช่วยจะอยู่หน้า verb หลักเสมอ)

Maria may go to the party.

มาเรียอาจไปงานปาร์ตี้

We are planning for our summer trip.

พวกเรากำลังวางแผนทริปช่วงซัมเมอร์

4. Adjective (คำคุณศัพท์)

Adjective (ตัวย่อ adj.) คือคำที่ทำหน้าที่ขยาย noun หรือ pronoun อย่างเช่นคำว่า big, good, rich, slow

โดยทั่วไป adjective จะอยู่หน้า noun หรือหลัง linking verb (linking verb คือ verb หลักที่ใช้เชื่อมระหว่างประธานกับคำที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประธาน เช่น is, am, are, feel, seem อย่างเช่นในประโยค This pen is cheap.)

ตัวอย่าง adjective ในประโยค

Adjective อยู่หน้า noun

My dog has brown ears.

สุนัขของฉันมีหูสีน้ำตาล

I want to be a good student.

ฉันอยากเป็นนักเรียนที่ดี

Adjective อยู่หลัง linking verb

They are smart.

พวกเขาฉลาด

My house is big and clean.

บ้านของฉันใหญ่และสะอาด

5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)

Adverb (ตัวย่อ adv.) คือคำที่ใช้ขยาย verb, adjective, adverb หรือประโยค

Adverb ส่วนใหญ่จะลงด้วย ly อย่างเช่น quickly, slowly, happily, sadly แต่ก็มีบางคำที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย ly เช่น always, never, very, fast

ตัวอย่าง adverb ในประโยค

Adverb ที่ขยาย verb

I always wake up at 6 a.m.

ฉันตื่นตอน 6 โมงเช้าเป็นประจำ

(always ขยายคำว่า wake up)

She ate quickly because she was late for work.

เธอกินอย่างรวดเร็วเพราะว่าเธอไปทำงานสาย

(quickly ขยายคำว่า ate)

Adverb ที่ขยาย adjective

He is a very good person.

เขาเป็นคนที่ดีมาก

(very ขยายคำว่า good)

You are really kind.

คุณใจดีมากเลย

(really ขยายคำว่า kind)

Adverb ที่ขยาย adverb

They work extremely quickly.

พวกเขาทำงานกันเร็วมากๆ

(extremely ขยายคำว่า quickly)

That cat eats very happily.

แมวตัวนั้นกินแบบมีความสุขมาก

(very ขยายคำว่า happily)

Adverb ที่ขยายประโยค

Surprisingly, many people have nothing at all in savings.

ที่น่าประหลาดใจก็คือ หลายคนไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่นิดเดียว

(surprisingly ขยายทั้งประโยคหลังคอมม่า)

Unfortunately, many parents let their kids having too much sugar.

ที่โชคร้ายก็คือ ผู้ปกครองหลายคนปล่อยให้ลูกได้รับน้ำตาลเยอะเกินไป

(unfortunately ขยายทั้งประโยคหลังคอมม่า)

6. Preposition (คำบุพบท)

Preposition (ตัวย่อ prep.) คือคำที่เอาไว้หน้า noun หรือ pronoun เพื่อเชื่อม noun หรือ pronoun นั้นกับคำอื่น

ตัวอย่างคำที่สามารถใช้เป็น preposition ได้ เช่น about, after, as, at, before, by, for, in, into, of, on, to, with, without

ตัวอย่าง preposition ในประโยค

The class starts at 9 o’clock.

คาบเรียนเริ่มตอน 9 โมง

I live with my older brother.

ฉันอยู่กับพี่ชาย

Do you want to go to the library with us?

คุณอยากไปห้องสมุดกับพวกเรามั้ย

7. Conjunction (คำเชื่อม)

Conjunction (ตัวย่อ conj.) คือคำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เช่น and, but, while, although

ตัวอย่าง conjunction ในประโยค

I love mom and dad.

ฉันรักแม่และพ่อ

He hates math, but he loves biology.

เขาเกลียดเลข แต่เขาชอบชีวะ

Anne called me while I was driving.

แอนโทรหาฉันตอนที่ฉันกำลังขับรถ

8. Interjection (คำอุทาน)

Interjection (ตัวย่อ interj.) คือคำสั้นๆที่ใช้แสดงอารมณ์ เช่น oh, hey, ouch, wow ถ้าเทียบกับคำไทยก็เช่น โอ้โห โอ๊ย ปัดโธ่ เป็นต้น

ตัวอย่าง interjection ในประโยค

Oh! I thought you would not come.

โอ้ ฉันคิดว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว

Wow! Everyone is so good-looking.

ว้าว ทุกคนหน้าตาดีกันทั้งนั้นเลย

Ouch! My hand hurts.

โอ๊ย เจ็บมือจัง

จบแล้วครับกับ part of speech แบบสรุป ชิววี่หวังว่าเพื่อนๆจะเข้าใจคำแต่ละชนิด และนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นนะครับ

ที่มาครูสมชายคัดมาจาก: https://meowdemy.com/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B-part-of-speech-%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86/