การคัดแยกในเหตุผู้ประสบภัยหมู่
Triage in Mass Casualty Incident
นพ.จิรพงษ์ ศุภเสาวภาคย์
พญ.ปฏิมา พุทธไพศาล
นพ.ชายตา สุจินพรัหม
การคัดแยกผู้ประสบภัยในเหตุผู้ประสบภัยหมู่เป็นขั้นตอนแรกของการให้การดูแลรักษาทางการแพทย์ (Triage - Treatment - Transport) หลังจากเข้าถึงที่เกิดเหตุ และตั้งจุดรักษาผู้บาดเจ็บ
เป้าหมาย: “Do The Greatest Good to The Greatest Number of People”
เป้าหมายของการคัดแยกผู้บาดเจ็บในเหตุผู้ประสบภัยหมู่ โดยไม่ว่าจะใช้หลักการ Triage แบบใดก็ตาม ก็เพื่อให้สามารถคัดแยกผู้ประสบภัยตามระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บ ความต้องการทางการแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษา และนำส่งที่เหมาะสมได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เหมาะสมกับสถานการณ์ และใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มากที่สุด
หลักการคัดแยกผู้ป่วยในสถานการณ์ผู้ป่วยจำนวนมาก
- “ทำประโยชน์มากที่สุดให้กับคนจำนวนมากที่สุด” (Do the greatest good for the greatest number)
ในภาวะที่ผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากกว่าทรัพยากรที่มีการทุ่มเททรัพยากรไปกับผู้บาดเจ็บที่มีอาการรุนแรงมากเพียงคนเดียว อาจทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตมากกว่า การจัดสรรทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า หากได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที - ในสถานการณ์ผู้ประสบภัยจำนวนมาก มักมีข้อจำกัดทั้งด้านบุคลากร ทรัพยากรในการคัดแยก ทรัพยากรในการรักษาพยาบาล และเวลา ทำให้รูปแบบการคัดแยกมีความแตกต่างไปจากการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินในสถานการณ์ปกติ
- Triage ทำซ้ำได้ (Triage is dynamic process)
สิ่งที่ผู้ปฏิบัติการช่วยเหลือ ควรคำนึงถึงเอาไว้เสมอคือ อาการของผู้ป่วยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะได้ทำการคัดแยกครั้งแรกไปแล้ว ดังนั้นกระบวนการในการ Triage จึงต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด (dynamic) และสามารถทำซ้ำ (retriage) ได้
โดยผู้ประสบภัยจะถูกคัดแยกออกเป็น 4 กลุ่ม มีตัวย่อให้จำได้ง่ายคือ IDME
- I - Immediate มีการบาดเจ็บที่คุกคามถึงชีวิต ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที
- D - Delayed มีการบาดเจ็บที่จำเป็นต้องส่งไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาล
- M - Minimal อาการบาดเจ็บเล็กน้อย สามารถให้การดูแลรักษา ณ จุดเกิดเหตุได้โดยไม่ต้องนำส่งโรงพยาบาล
- E - Expectant / Dead ผู้บาดเจ็บเสียชีวิต หรือมีการบาดเจ็บที่รุนแรง ไม่สามารถให้การรักษาเพื่อรักษาชีวิตได้ ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่
Triage is Dynamic
ทั้งนี้ขอให้ผู้ปฏิบัติงานพึงระลึกเสมอว่า อาการของผู้ประสบภัย ศักยภาพ และทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การคัดแยกจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน และสามารถทำซ้ำได้ ตามสถานการณ์ อาการผู้บาดเจ็บที่เปลี่ยนแปลง การตรวจพบอาการบาดเจ็บเพิ่มเติมจากการทำประเมิน ABC หรือ primary survey ในภายหลัง และการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของทรัพยากร
ระดับของการคัดแยกผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
การคัดแยกผู้ป่วยในสถานการณ์ผู้ป่วยจำนวนมาก (Mass Casualty Incident: MCI) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยจัดลำดับความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมที่สุดภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ๆ ได้แก่
- การคัดแยกขั้นต้น (Primary triage)
- การคัดแยกขั้นที่ 2 (Secondary triage)
- การคัดแยกขั้นที่ 3 (Tertiary triage)
1. Primary Triage (การคัดแยกขั้นต้น)
Primary triage เป็นการประเมินผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ณ จุดเกิดเหตุ เพื่อจัดกลุ่มผู้ป่วยตามความรุนแรงและเร่งด่วนของการบาดเจ็บ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุผู้ป่วยที่ต้องการการช่วยเหลือทันที และผู้ป่วยที่สามารถรอได้ เพื่อให้ทรัพยากรที่มีอยู่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากที่สุด
- วิธีการประเมิน: มักใช้ระบบที่ง่ายและรวดเร็ว เช่น START (Simple Triage And Rapid Treatment) หรือ SALT (Sort, Assess, Life-saving Interventions, Treat/Transport) ซึ่งเน้นการประเมินภาวะคุกคามต่อชีวิต เช่น การหายใจ การไหลเวียนโลหิต และระดับการรับรู้
- การจัดกลุ่มผู้ป่วย (ตัวอย่างสีที่ใช้ในระบบ START):
- สีแดง (Immediate): ผู้ป่วยที่มีภาวะคุกคามต่อชีวิตอย่างรุนแรงและต้องได้รับการรักษาทันที เช่น หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น มีเลือดออกมาก
- สีเหลือง (Delayed): ผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บรุนแรง แต่ไม่คุกคามชีวิตในทันที สามารถรอการรักษาได้ในระยะหนึ่ง เช่น กระดูกหักหลายส่วน มีบาดแผลขนาดใหญ่
- สีเขียว (Minimal/Minor): ผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่คุกคามชีวิต สามารถดูแลตนเองได้ หรือรอการรักษาได้นาน เช่น แผลถลอก ฟกช้ำ
- สีดำ (Expectant/Deceased): ผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้ว หรือผู้ป่วยที่มีโอกาสรอดชีวิตน้อยมากแม้ได้รับการรักษาเต็มที่
- Primary triage บางรูปแบบยังได้ครอบคลุมถึงการให้การรักษาขั้นตอน สำหรับกรณีภาวะวิกฤติคุกคามชีวิต (life saving interventions) เช่น การห้ามเลือด การเปิดทางเดินหายใจ การระบายลมในช่องอก ผนวกอยู่ในขั้นตอนการคัดแยก
ตัวอย่างของการคัดแยกขั้นแรก (primary triage)
MASS triage
เหมาะสำหรับบุคลากรเผชิญเหตุ (first responder) ที่เข้าไปคัดแยกผู้ประสบภัยใน hot zone โดยใช้ความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ประสบภัยเป็นหลัก สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว กับผู้ประสบภัยจำนวนมาก โดยที่ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมีทักษะทางการแพทย์ในการประเมินผู้บาดเจ็บ เป็นรูปแบบที่ใช้ในหลักสูตร Basic Disaster Life Support (BDLS)
- M - Move เพื่อคัดแยกผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว โดยการถาม 2 คำถาม
- “ใครที่ได้ยินประกาศ และสามารถเดินได้ ให้ไปรอรักษาที่ธงสีเขียว”
- “ใครที่ได้ยินประกาศ และต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถเดินได้ให้ยกมือหรือขาขึ้น”
2. A - Assess เป็นการประเมินรายบุคคล ในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่เหลือจากกลุ่มแรก เพื่อหา life threatening condition และประเมินว่าเสียชีวิตแล้วหรือไม่
3. S - Sort ทำการแยกผู้บาดเจ็บออกเป็น 4 กลุ่ม (IDME)
4. S - Send นำส่งผู้บาดเจ็บไปยังพื้นที่รักษาพยาบาล ตามลำดับความเร่งด่วนที่ได้คัดแยกไว้
SALT triage
ทำต่อเนื่องจาก MASS triage มักทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งสามารถทำ “L” - Life saving intervention ได้ เป็นรูปแบบที่ใช้ในหลักสูตร Advanced Disaster Life Support (ADLS)
- S - global Sort เพื่อคัดแยกผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว โดยการถาม 2 คำถาม
- “ใครที่ได้ยินประกาศ และสามารถเดินได้ ให้ไปรอรักษาที่ธงสีเขียว” (Minimal)
- “ใครที่ได้ยินประกาศ และต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถเดินได้ให้ยกมือหรือขาขึ้น” (Delayed)
- A - individual Assess เป็นการประเมินรายบุคคล ในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่ไม่ตอบสนองจากการคัดแยกในข้อแรก เพื่อหา life threatening condition และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว
- L - Life saving intervention เป็นการทำหัตถการช่วยชีวิตอย่างรวดเร็ว ก่อนการเคลื่อนย้ายประกอบไปด้วย
- Airway - เปิดทางเดินหายใจอย่างรวดเร็ว อาจพิจารณาลองช่วยหายใจ 2 ครั้งในเด็กที่หยุดหายใจ
- Breathing - Needle decompression สำหรับรายที่สงสัย tension pneumothorax
- Circulation - Hemorrhage control ด้วย manual pressure หรือ tourniquet
- Dote - Antidote ในกรณีสงสัยว่าอาการที่เป็นเกิดจากสารพิษ โดยเฉพาะพวก nerve agent
- T - Treatment / Transport ประเมินความต้องการทางการแพทย์ เพื่อเคลื่อนย้าย หรือนำส่งผู้บาดเจ็บต่อไปยังพื้นที่ให้การรักษา หรือโรงพยาบาลต่อไป ได้แก่ 1. คัดแยกตามความรุนแรง ตามกลุ่ม IDME ด้วยการ ประเมินความสามารถในการทำตามคำสั่ง, หาอาการ respiratory distress, uncontrolled hemorrhage และคลำชีพจร หรือ 2. ประเมินว่าสามารถช่วยเหลือโดยใช้ทรัพยากรที่มีได้หรือไม่ (Expectant) หรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ (Dead)

START (Simple Triage and Rapid Treatment) Triage
เป็น triage ที่มีการเริ่มใช้ครั้งแรกใน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และยังคงใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เหมาะสมกับการปฏิบัติืใน warm zone ก่อนการทำ decontamination เพื่อส่งผู้ประสบภัยเข้ารักษาในพื้นที่ตามความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ ผู้คัดแยกจะต้องมีทักษะด้านการแพทย์ในการประเมินผู้ป่วยมาประกอบการคัดแยก โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- walking? - คัดแยกผู้บาดเจ็บเดินได้ (Minimal)
- Airway ถ้าไม่หายใจ ให้แยก immediate กับ dead ด้วยการเปิดทางเดินหายใจ (กรณีผู้ประสบภัยที่เป็นเด็ก ให้ทำการช่วยหายใจ 5 ครั้ง ก่อนประเมินซ้ำ)
- Breathing - tag immediate หาก respiratory rate > 30 ครั้ง/นาที กรณีผู้ป่วยเด็ก tag immediate หาก RR ไม่อยู่ในช่วง 15-45 ครั้ง/นาที
- Circulation - tag immediate หาก capillary refill > 2 วินาที
- Disability - tag immediate หากไม่สามารถทำตามคำสั่งได้

Triage SIEVE
เป็นรูปแบบการ triage ที่ใช้ในประเทศอังกฤษ และเครือสหราชอาณาจักร ใช้ในหลักสูตร Major Incident Management and Support (MIMMS) มีรูปแบบคล้ายกับ START Triage แต่มีการจัดกลุ่มคัดแยกที่ต่างไปจาก IDME เป็น Immediate - Urgent - Delayed - Dead โดยมีขั้นตอนการประเมินดังนี้
- walking? - คัดแยกผู้บาดเจ็บเดินได้ (Delayed ~= Minimal ใน START triage)
- Airway ถ้าไม่หายใจ ให้แยก immediate กับ dead ด้วยการเปิดทางเดินหายใจ เช่นเดียวกับ START
- Breathing - tag immediate หาก respiratory rate < 10 หรือ > 29 ครั้ง/นาที
- Circulation - tag immediate หาก capillary refill > 2 วินาที หรือชีพจร >120 ครั้ง/นาที ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะ immediate ในข้อ 2.,3.,4. ให้ถือเป็น Urgent (~= Delayed ใน START triage)

Ten-second triage (TST)
แนวทาง Ten Second Triage (TST) เป็นวิธีการคัดแยกผู้ป่วยในเหตุการณ์สำคัญที่เน้นความรวดเร็วและการปฏิบัติจริง โดยได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการคัดแยกผู้ป่วยตามสรีรวิทยาแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกของเหตุการณ์ที่ผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากกว่าผู้ให้ความช่วยเหลือ TST ได้รับการสนับสนุนโดย NHS England และหน่วยงานฉุกเฉินต่างๆ ทำให้เป็นเครื่องมือคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินแรกที่สามารถใช้ได้โดยผู้เผชิญเหตุเบื้องต้นจากทุกหน่วยงานฉุกเฉิน ไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
ขั้นตอนปฏิบัติของ Ten Second Triage:
TST เป็นการประเมินที่เรียบง่ายและรวดเร็ว โดยอาศัยการประเมินการตอบสนองของผู้บาดเจ็บโดยไม่ใช้การประเมินทางสรีรวิทยาที่เป็นทางการ
- Walking (เดินได้):
- ใช่: หากผู้บาดเจ็บสามารถเดินได้ จะถูกจัดอยู่ในลำดับความสำคัญ P3 (Priority 3) ซึ่งเป็นการลดความสำคัญของผู้บาดเจ็บจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ให้ความช่วยเหลือสามารถมุ่งเน้นไปที่ผู้บาดเจ็บที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
- Severe Bleeding (เลือดออกรุนแรง):
- ไม่ (เดินไม่ได้): หากผู้บาดเจ็บไม่สามารถเดินได้ ให้ประเมินว่ามีเลือดออกรุนแรงหรือไม่
- ใช่: หากมีเลือดออกรุนแรง ให้ทำการห้ามเลือด (Pressure, Tourniquet, Packing) และจัดอยู่ในลำดับความสำคัญ P1 (Priority 1) TST เน้นการห้ามเลือดภายนอกและการเปิดทางเดินหายใจ ซึ่งสัมพันธ์กับการรอดชีวิตที่ดีขึ้นในระยะเริ่มต้นของการบาดเจ็บ
- Talking (พูดได้):
- ไม่ (ไม่สามารถเดินได้ และไม่มีเลือดออกรุนแรง): หากผู้บาดเจ็บไม่สามารถเดินได้และไม่มีเลือดออกรุนแรง ให้ประเมินว่าสามารถพูดได้หรือไม่
- ใช่: หากพูดได้ ให้ประเมินว่ามีอาการบาดเจ็บจากการถูกแทง (Penetrating Injury) ที่ลำตัวด้านหน้าหรือด้านหลังหรือไม่
- ใช่ (มีบาดแผลถูกแทง): จัดอยู่ในลำดับความสำคัญ P1 TST มีขั้นตอนใหม่ในการประเมินและจัดลำดับความสำคัญของผู้บาดเจ็บที่ไม่สามารถเดินได้ซึ่งมีบาดแผลถูกแทงที่ลำตัว เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการทรุดตัวอย่างรวดเร็วและเลือดออกที่ไม่สามารถกดได้ ซึ่งอาจต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
- ไม่ (ไม่มีบาดแผลถูกแทง): จัดอยู่ในลำดับความสำคัญ P2 (Priority 2)
- Breathing (หายใจได้):
- ไม่ (ไม่สามารถเดินได้, ไม่มีเลือดออกรุนแรง, และไม่สามารถพูดได้): หากผู้บาดเจ็บไม่สามารถเดินได้, ไม่มีเลือดออกรุนแรง, และไม่สามารถพูดได้ ให้ประเมินว่าหายใจได้หรือไม่
- ใช่ (เปิดทางเดินหายใจหากทำได้): หากหายใจได้ ให้จัดอยู่ในท่าพักฟื้น (Recovery Position) และจัดอยู่ในลำดับความสำคัญ P1
- ไม่ (ไม่หายใจ): จัดอยู่ในประเภท "Not Breathing" (ไม่หายใจ) และให้ทำการ CPR หากทรัพยากรเอื้ออำนวย TST จัดประเภทผู้ป่วยหยุดหายใจว่า "ไม่หายใจ" และใช้สีเงิน ซึ่งมีเหตุผลสองประการคือ เพื่อให้ผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้ TST ได้โดยไม่มีปัญหาทางกฎหมายในการจัดประเภทผู้บาดเจ็บว่าเสียชีวิต และเพื่อให้สามารถกู้ชีวิตได้ในกรณีที่ผู้บาดเจ็บหัวใจหยุดเต้น การประกาศว่า "เสียชีวิต" จะทำเมื่อมีทรัพยากรทางการแพทย์เพียงพอสำหรับการพิจารณาทางคลินิกอย่างเหมาะสมเท่านั้น

2. Secondary Triage (การคัดแยกขั้นที่สอง)
Secondary triage เป็นการประเมินผู้ป่วยที่ละเอียดขึ้น หลังจากผู้ป่วยถูกนำออกจากจุดเกิดเหตุและมายังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า หรือมาถึงสถานพยาบาล (โรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาลหลัก) โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินด้านคลินิกมากขึ้น เช่น สัญญาณชีพ ระบบอวัยวะที่ที่บาดเจ็บ กลไกการบาดเจ็บ
- วิธีการประเมิน: พยาบาลฉุกเฉินหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีทักษะจะทำการประเมินอย่างละเอียดมากขึ้น โดยรวบรวมข้อมูลจากการประเมินทางกายภาพ สัญญาณชีพ (Vital signs) การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab) หรือภาพถ่ายรังสี (X-ray) หากมี
- วัตถุประสงค์: เพื่อยืนยันหรือปรับเปลี่ยนการจัดกลุ่มผู้ป่วยจากการคัดแยกขั้นต้น และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงตัดสินใจว่าจะส่งผู้ป่วยไปที่แผนกใดในโรงพยาบาล หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีความสามารถในการดูแลเฉพาะทางได้
- การจัดกลุ่มผู้ป่วย: อาจมีการแบ่งระดับที่ละเอียดขึ้น ช่วยในการจัดลำดับความจำเป็นในการให้การรักษาพยาบาล
การคัดแยกขั้นที่ 2 นี้มักเริ่มทำตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ามาถึงจุดรักษาพยาบาล และทำต่อเนื่องในระหว่างทำการรักษาพยาบาล หรือสังเกตอาการ สามารถปรับเปลี่ยนระดับความรุนแรงได้ หากผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลง (ดีขึ้น หรือแย่ลง)
ตัวอย่างการคัดแยกระดับที่ 2 (Secondary triage)
Triage Sort
เป็นการประเมินสภาพการบาดเจ็บ เพื่อจัดลำดับความเร่งด่วนของการนำส่ง หลังจากได้รับการรักษาเพื่อช่วยชีวิต ณ ที่เกิดเหตุแล้ว (ดูเพิ่มเติมในเรื่อง การให้การรักษา ณ จุดเกิดเหตุ) ใช้ในประเทศอังกฤษ ควบคู่กับการทำ Triage SIEVE (Triage SIEVE - Treatment - Triage Sort - Transport) โดยใช้ vital signs มาคิดคะแนน
- A และ B โดยใช้ respiratory rate
- C โดยใช้ systolic blood pressure
- D โดยใช้ GCS
นำคะแนนที่ได้มาคำนวณ และจัดกลุ่มความเร่งด่วนเป็น 5 กลุ่ม (Immediate - Urgent - Delayed - Dead - Expectant)

Triage: SAVE (Secondary Assessment of Victim Endpoint)
SAVE เป็นแนวคิดการคัดแยกผู้ป่วยที่แตกต่างจากการคัดแยกแบบทั่วไป (เช่น START, SALT, ESI) โดยมุ่งเน้นที่ "การช่วยชีวิตผู้ป่วยจำนวนมากที่สุด" (Do the greatest good for the greatest number) ในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจำกัดอย่างรุนแรง
ในขณะที่ระบบคัดแยกทั่วไปจะเน้นการช่วยชีวิตผู้ป่วยแต่ละรายโดยพิจารณาจากความรุนแรงและโอกาสรอด SAVE จะมองในภาพรวมที่กว้างกว่าและอาจตัดสินใจ "ไม่ให้" การรักษาแก่ผู้ป่วยบางรายที่ดูเหมือนจะต้องการทรัพยากรสูงมากและมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก เพื่อนำทรัพยากรเหล่านั้นไปช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นที่มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า
หลักการของ SAVE:
- Likely to Die Regardless of Care (อาจเสียชีวิตไม่ว่าจะได้รับการดูแลหรือไม่): ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บรุนแรงมาก และมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก แม้จะได้รับการรักษาเต็มที่ เช่น การบาดเจ็บของสมองที่รุนแรงมาก, อวัยวะภายในเสียหายหลายส่วน การคัดแยกแบบ SAVE อาจพิจารณาว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ควรได้รับทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อให้ทรัพยากรไปใช้กับผู้ป่วยรายอื่นที่มีโอกาสรอดสูงกว่า
- Likely to Live Regardless of Care (น่าจะรอดชีวิตไม่ว่าจะได้รับการดูแลหรือไม่): ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่คุกคามชีวิต สามารถดูแลตนเองได้หรือรอการรักษาได้
- Potential for Salvage with Intervention (มีโอกาสรอดหากได้รับการช่วยเหลือ): ผู้ป่วยกลุ่มนี้คือเป้าหมายหลักของ SAVE ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บรุนแรงปานกลางถึงรุนแรง แต่หากได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันท่วงที จะมีโอกาสรอดชีวิตสูง
การทำงานของ SAVE: ในหลายกรณี SAVE เป็นหลักการที่ยากต่อการตัดสินใจและมักใช้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและทรัพยากรมีจำกัดอย่างที่สุด เช่น ภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่โรงพยาบาลและบุคลากรถูกทำลายไปมาก การตัดสินใจจะเน้นการประเมินว่าการลงทุนทรัพยากรในผู้ป่วยแต่ละรายจะให้ผลตอบแทน (โอกาสรอด) สูงสุดหรือไม่
ตัวอย่างการพิจารณาจัดลำดับให้การรักษาสำหรับการบาดเจ็บลักษณะต่างๆ

3. Tertiary Triage (การคัดแยกขั้นที่สาม)
Tertiary triage เป็นการประเมินผู้ป่วยอีกครั้งภายในสถานพยาบาลหลัก โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยถูกส่งเข้าสู่ระบบการรักษาภายในโรงพยาบาลแล้ว
- วิธีการประเมิน: เป็นการประเมินที่ต่อเนื่องและละเอียดที่สุด โดยทีมแพทย์และพยาบาลที่เกี่ยวข้อง จะมีการประเมินอาการของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบผลการตรวจต่างๆ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอาการ
- วัตถุประสงค์: เพื่อจัดลำดับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องในแต่ละแผนกของโรงพยาบาล เช่น การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด ห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) หรือหอผู้ป่วยทั่วไป รวมถึงการพิจารณาการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Palliative care) หากจำเป็น
- การจัดกลุ่มผู้ป่วย: การจัดลำดับจะพิจารณาจากความจำเป็นในการผ่าตัด, การใช้ทรัพยากรเฉพาะทาง, หรือการดูแลต่อเนื่องในระยะยาว
การคัดแยกทั้งสามระดับนี้ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุบัติภัยหมู่จะได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
สรุป
การคัดแยกผู้ประสบภัยในเหตุผู้ประสบภัยหมู่ มีเป้าหมายเพื่อแยกผู้ป่วยตามความรุนแรงของการบาดเจ็บ เพื่อให้เกิดการรักษา ณ จุดเกิดเหตุ และการส่งต่ออย่างเหมาะสม รวดเร็ว ภายใต้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียชีวิต ผู้ปฏิบัติการช่วยเหลือทางการแพทย์ควรทำความคุ้นเคยกับการคัดแยกรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสามารถเลือกใช้กับสถานการณ์ที่มีความแตกต่างกัน ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
References