Published using Google Docs
Triage in MCI handout
Updated automatically every 5 minutes

การคัดแยกในเหตุผู้ประสบภัยหมู่

Triage in Mass Casualty Incident

นพ.จิรพงษ์ ศุภเสาวภาคย์        

พญ.ปฏิมา พุทธไพศาล                

นพ.ชายตา  สุจินพรัหม                

การคัดแยกผู้ประสบภัยในเหตุผู้ประสบภัยหมู่เป็นขั้นตอนแรกของการให้การดูแลรักษาทางการแพทย์ (Triage - Treatment - Transport) หลังจากเข้าถึงที่เกิดเหตุ และตั้งจุดรักษาผู้บาดเจ็บ

เป้าหมาย: “Do The Greatest Good to The Greatest Number of People”

เป้าหมายของการคัดแยกผู้บาดเจ็บในเหตุผู้ประสบภัยหมู่ โดยไม่ว่าจะใช้หลักการ Triage แบบใดก็ตาม ก็เพื่อให้สามารถคัดแยกผู้ประสบภัยตามระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บ ความต้องการทางการแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษา และนำส่งที่เหมาะสมได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เหมาะสมกับสถานการณ์ และใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มากที่สุด

หลักการคัดแยกผู้ป่วยในสถานการณ์ผู้ป่วยจำนวนมาก

  1. “ทำประโยชน์มากที่สุดให้กับคนจำนวนมากที่สุด” (Do the greatest good for the greatest number)
    ในภาวะที่ผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากกว่าทรัพยากรที่มีการทุ่มเททรัพยากรไปกับผู้บาดเจ็บที่มีอาการรุนแรงมากเพียงคนเดียว อาจทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตมากกว่า การจัดสรรทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า หากได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  2. ในสถานการณ์ผู้ประสบภัยจำนวนมาก มักมีข้อจำกัดทั้งด้านบุคลากร ทรัพยากรในการคัดแยก ทรัพยากรในการรักษาพยาบาล และเวลา ทำให้รูปแบบการคัดแยกมีความแตกต่างไปจากการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินในสถานการณ์ปกติ
  3. Triage ทำซ้ำได้ (Triage is dynamic process)
    สิ่งที่ผู้ปฏิบัติการช่วยเหลือ ควรคำนึงถึงเอาไว้เสมอคือ
    อาการของผู้ป่วยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะได้ทำการคัดแยกครั้งแรกไปแล้ว ดังนั้นกระบวนการในการ Triage จึงต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด (dynamic) และสามารถทำซ้ำ (retriage) ได้

โดยผู้ประสบภัยจะถูกคัดแยกออกเป็น 4 กลุ่ม มีตัวย่อให้จำได้ง่ายคือ IDME

  1. I - Immediate มีการบาดเจ็บที่คุกคามถึงชีวิต ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที
  2. D - Delayed มีการบาดเจ็บที่จำเป็นต้องส่งไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาล
  3. M - Minimal อาการบาดเจ็บเล็กน้อย สามารถให้การดูแลรักษา ณ จุดเกิดเหตุได้โดยไม่ต้องนำส่งโรงพยาบาล
  4. E - Expectant / Dead ผู้บาดเจ็บเสียชีวิต หรือมีการบาดเจ็บที่รุนแรง ไม่สามารถให้การรักษาเพื่อรักษาชีวิตได้ ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่

Triage is Dynamic

        ทั้งนี้ขอให้ผู้ปฏิบัติงานพึงระลึกเสมอว่า อาการของผู้ประสบภัย ศักยภาพ และทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การคัดแยกจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน และสามารถทำซ้ำได้ ตามสถานการณ์ อาการผู้บาดเจ็บที่เปลี่ยนแปลง การตรวจพบอาการบาดเจ็บเพิ่มเติมจากการทำประเมิน ABC หรือ primary survey ในภายหลัง และการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของทรัพยากร

ระดับของการคัดแยกผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

การคัดแยกผู้ป่วยในสถานการณ์ผู้ป่วยจำนวนมาก (Mass Casualty Incident: MCI) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยจัดลำดับความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมที่สุดภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ๆ ได้แก่

  1. การคัดแยกขั้นต้น (Primary triage)
  2. การคัดแยกขั้นที่ 2 (Secondary triage)
  3. การคัดแยกขั้นที่ 3 (Tertiary triage)

1. Primary Triage (การคัดแยกขั้นต้น)

Primary triage เป็นการประเมินผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ณ จุดเกิดเหตุ เพื่อจัดกลุ่มผู้ป่วยตามความรุนแรงและเร่งด่วนของการบาดเจ็บ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุผู้ป่วยที่ต้องการการช่วยเหลือทันที และผู้ป่วยที่สามารถรอได้ เพื่อให้ทรัพยากรที่มีอยู่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากที่สุด

ตัวอย่างของการคัดแยกขั้นแรก (primary triage)

MASS triage

        เหมาะสำหรับบุคลากรเผชิญเหตุ (first responder) ที่เข้าไปคัดแยกผู้ประสบภัยใน hot zone โดยใช้ความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ประสบภัยเป็นหลัก สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว กับผู้ประสบภัยจำนวนมาก โดยที่ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมีทักษะทางการแพทย์ในการประเมินผู้บาดเจ็บ เป็นรูปแบบที่ใช้ในหลักสูตร Basic Disaster Life Support (BDLS)

  1. M - Move เพื่อคัดแยกผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว โดยการถาม 2 คำถาม
  1. “ใครที่ได้ยินประกาศ และสามารถเดินได้ ให้ไปรอรักษาที่ธงสีเขียว”
  2. “ใครที่ได้ยินประกาศ และต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถเดินได้ให้ยกมือหรือขาขึ้น”

         2.  A - Assess เป็นการประเมินรายบุคคล ในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่เหลือจากกลุ่มแรก เพื่อหา life threatening condition และประเมินว่าเสียชีวิตแล้วหรือไม่

         3.  S - Sort ทำการแยกผู้บาดเจ็บออกเป็น 4 กลุ่ม (IDME)

         4.  S - Send นำส่งผู้บาดเจ็บไปยังพื้นที่รักษาพยาบาล ตามลำดับความเร่งด่วนที่ได้คัดแยกไว้

SALT triage

        ทำต่อเนื่องจาก MASS triage มักทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งสามารถทำ “L” - Life saving intervention ได้ เป็นรูปแบบที่ใช้ในหลักสูตร Advanced Disaster Life Support (ADLS)

  1. S - global Sort เพื่อคัดแยกผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว โดยการถาม 2 คำถาม
  1. “ใครที่ได้ยินประกาศ และสามารถเดินได้ ให้ไปรอรักษาที่ธงสีเขียว” (Minimal)
  2. “ใครที่ได้ยินประกาศ และต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถเดินได้ให้ยกมือหรือขาขึ้น” (Delayed)
  1. A - individual Assess เป็นการประเมินรายบุคคล ในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่ไม่ตอบสนองจากการคัดแยกในข้อแรก เพื่อหา life threatening condition และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว
  2. L - Life saving intervention เป็นการทำหัตถการช่วยชีวิตอย่างรวดเร็ว ก่อนการเคลื่อนย้ายประกอบไปด้วย
  1. Airway - เปิดทางเดินหายใจอย่างรวดเร็ว อาจพิจารณาลองช่วยหายใจ 2 ครั้งในเด็กที่หยุดหายใจ
  2. Breathing - Needle decompression สำหรับรายที่สงสัย tension pneumothorax
  3. Circulation - Hemorrhage control ด้วย manual pressure หรือ tourniquet
  4. Dote - Antidote ในกรณีสงสัยว่าอาการที่เป็นเกิดจากสารพิษ โดยเฉพาะพวก nerve agent
  1. T - Treatment / Transport ประเมินความต้องการทางการแพทย์ เพื่อเคลื่อนย้าย หรือนำส่งผู้บาดเจ็บต่อไปยังพื้นที่ให้การรักษา หรือโรงพยาบาลต่อไป ได้แก่ 1. คัดแยกตามความรุนแรง ตามกลุ่ม IDME ด้วยการ ประเมินความสามารถในการทำตามคำสั่ง, หาอาการ respiratory distress, uncontrolled hemorrhage และคลำชีพจร หรือ 2. ประเมินว่าสามารถช่วยเหลือโดยใช้ทรัพยากรที่มีได้หรือไม่ (Expectant) หรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ (Dead)

START (Simple Triage and Rapid Treatment) Triage

        เป็น triage ที่มีการเริ่มใช้ครั้งแรกใน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และยังคงใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เหมาะสมกับการปฏิบัติืใน warm zone ก่อนการทำ decontamination เพื่อส่งผู้ประสบภัยเข้ารักษาในพื้นที่ตามความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ ผู้คัดแยกจะต้องมีทักษะด้านการแพทย์ในการประเมินผู้ป่วยมาประกอบการคัดแยก โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. walking? - คัดแยกผู้บาดเจ็บเดินได้ (Minimal)
  2. Airway ถ้าไม่หายใจ ให้แยก immediate กับ dead ด้วยการเปิดทางเดินหายใจ (กรณีผู้ประสบภัยที่เป็นเด็ก ให้ทำการช่วยหายใจ 5 ครั้ง ก่อนประเมินซ้ำ)
  3. Breathing - tag immediate หาก respiratory rate > 30 ครั้ง/นาที กรณีผู้ป่วยเด็ก tag immediate หาก RR ไม่อยู่ในช่วง 15-45 ครั้ง/นาที
  4. Circulation - tag immediate หาก capillary refill > 2 วินาที
  5. Disability - tag immediate หากไม่สามารถทำตามคำสั่งได้

Triage SIEVE

        เป็นรูปแบบการ triage ที่ใช้ในประเทศอังกฤษ และเครือสหราชอาณาจักร ใช้ในหลักสูตร Major Incident Management and Support (MIMMS) มีรูปแบบคล้ายกับ START Triage แต่มีการจัดกลุ่มคัดแยกที่ต่างไปจาก IDME เป็น Immediate - Urgent - Delayed - Dead โดยมีขั้นตอนการประเมินดังนี้

  1. walking? - คัดแยกผู้บาดเจ็บเดินได้ (Delayed ~= Minimal ใน START triage)
  2. Airway ถ้าไม่หายใจ ให้แยก immediate กับ dead ด้วยการเปิดทางเดินหายใจ เช่นเดียวกับ START
  3. Breathing - tag immediate หาก respiratory rate < 10 หรือ > 29 ครั้ง/นาที
  4. Circulation - tag immediate หาก capillary refill > 2 วินาที หรือชีพจร >120 ครั้ง/นาที ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะ immediate ในข้อ 2.,3.,4. ให้ถือเป็น Urgent (~= Delayed ใน START triage)

Ten-second triage (TST)

แนวทาง Ten Second Triage (TST) เป็นวิธีการคัดแยกผู้ป่วยในเหตุการณ์สำคัญที่เน้นความรวดเร็วและการปฏิบัติจริง โดยได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการคัดแยกผู้ป่วยตามสรีรวิทยาแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกของเหตุการณ์ที่ผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากกว่าผู้ให้ความช่วยเหลือ TST ได้รับการสนับสนุนโดย NHS England และหน่วยงานฉุกเฉินต่างๆ ทำให้เป็นเครื่องมือคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินแรกที่สามารถใช้ได้โดยผู้เผชิญเหตุเบื้องต้นจากทุกหน่วยงานฉุกเฉิน ไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น

ขั้นตอนปฏิบัติของ Ten Second Triage:

TST เป็นการประเมินที่เรียบง่ายและรวดเร็ว โดยอาศัยการประเมินการตอบสนองของผู้บาดเจ็บโดยไม่ใช้การประเมินทางสรีรวิทยาที่เป็นทางการ

  1. Walking (เดินได้):
  1. Severe Bleeding (เลือดออกรุนแรง):
  1. Talking (พูดได้):
  1. Breathing (หายใจได้):

2. Secondary Triage (การคัดแยกขั้นที่สอง)

Secondary triage เป็นการประเมินผู้ป่วยที่ละเอียดขึ้น หลังจากผู้ป่วยถูกนำออกจากจุดเกิดเหตุและมายังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า หรือมาถึงสถานพยาบาล (โรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาลหลัก) โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินด้านคลินิกมากขึ้น เช่น สัญญาณชีพ ระบบอวัยวะที่ที่บาดเจ็บ กลไกการบาดเจ็บ

การคัดแยกขั้นที่ 2 นี้มักเริ่มทำตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ามาถึงจุดรักษาพยาบาล และทำต่อเนื่องในระหว่างทำการรักษาพยาบาล หรือสังเกตอาการ สามารถปรับเปลี่ยนระดับความรุนแรงได้ หากผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลง (ดีขึ้น หรือแย่ลง)

ตัวอย่างการคัดแยกระดับที่  2 (Secondary triage)

Triage Sort

เป็นการประเมินสภาพการบาดเจ็บ เพื่อจัดลำดับความเร่งด่วนของการนำส่ง หลังจากได้รับการรักษาเพื่อช่วยชีวิต ณ ที่เกิดเหตุแล้ว (ดูเพิ่มเติมในเรื่อง การให้การรักษา ณ จุดเกิดเหตุ) ใช้ในประเทศอังกฤษ ควบคู่กับการทำ Triage SIEVE (Triage SIEVE - Treatment - Triage Sort - Transport) โดยใช้ vital signs มาคิดคะแนน

  1. A และ B โดยใช้ respiratory rate
  2. C โดยใช้ systolic blood pressure
  3. D โดยใช้ GCS

        นำคะแนนที่ได้มาคำนวณ และจัดกลุ่มความเร่งด่วนเป็น 5 กลุ่ม (Immediate - Urgent - Delayed - Dead - Expectant)

Triage: SAVE (Secondary Assessment of Victim Endpoint)

SAVE เป็นแนวคิดการคัดแยกผู้ป่วยที่แตกต่างจากการคัดแยกแบบทั่วไป (เช่น START, SALT, ESI) โดยมุ่งเน้นที่ "การช่วยชีวิตผู้ป่วยจำนวนมากที่สุด" (Do the greatest good for the greatest number) ในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจำกัดอย่างรุนแรง

ในขณะที่ระบบคัดแยกทั่วไปจะเน้นการช่วยชีวิตผู้ป่วยแต่ละรายโดยพิจารณาจากความรุนแรงและโอกาสรอด SAVE จะมองในภาพรวมที่กว้างกว่าและอาจตัดสินใจ "ไม่ให้" การรักษาแก่ผู้ป่วยบางรายที่ดูเหมือนจะต้องการทรัพยากรสูงมากและมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก เพื่อนำทรัพยากรเหล่านั้นไปช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นที่มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า

หลักการของ SAVE:

  1. Likely to Die Regardless of Care (อาจเสียชีวิตไม่ว่าจะได้รับการดูแลหรือไม่): ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บรุนแรงมาก และมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก แม้จะได้รับการรักษาเต็มที่ เช่น การบาดเจ็บของสมองที่รุนแรงมาก, อวัยวะภายในเสียหายหลายส่วน การคัดแยกแบบ SAVE อาจพิจารณาว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ควรได้รับทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อให้ทรัพยากรไปใช้กับผู้ป่วยรายอื่นที่มีโอกาสรอดสูงกว่า
  2. Likely to Live Regardless of Care (น่าจะรอดชีวิตไม่ว่าจะได้รับการดูแลหรือไม่): ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่คุกคามชีวิต สามารถดูแลตนเองได้หรือรอการรักษาได้
  3. Potential for Salvage with Intervention (มีโอกาสรอดหากได้รับการช่วยเหลือ): ผู้ป่วยกลุ่มนี้คือเป้าหมายหลักของ SAVE ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บรุนแรงปานกลางถึงรุนแรง แต่หากได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันท่วงที จะมีโอกาสรอดชีวิตสูง

การทำงานของ SAVE: ในหลายกรณี SAVE เป็นหลักการที่ยากต่อการตัดสินใจและมักใช้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและทรัพยากรมีจำกัดอย่างที่สุด เช่น ภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่โรงพยาบาลและบุคลากรถูกทำลายไปมาก การตัดสินใจจะเน้นการประเมินว่าการลงทุนทรัพยากรในผู้ป่วยแต่ละรายจะให้ผลตอบแทน (โอกาสรอด) สูงสุดหรือไม่

ตัวอย่างการพิจารณาจัดลำดับให้การรักษาสำหรับการบาดเจ็บลักษณะต่างๆ

3. Tertiary Triage (การคัดแยกขั้นที่สาม)

Tertiary triage เป็นการประเมินผู้ป่วยอีกครั้งภายในสถานพยาบาลหลัก โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยถูกส่งเข้าสู่ระบบการรักษาภายในโรงพยาบาลแล้ว

การคัดแยกทั้งสามระดับนี้ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุบัติภัยหมู่จะได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด

สรุป

        การคัดแยกผู้ประสบภัยในเหตุผู้ประสบภัยหมู่ มีเป้าหมายเพื่อแยกผู้ป่วยตามความรุนแรงของการบาดเจ็บ เพื่อให้เกิดการรักษา ณ จุดเกิดเหตุ และการส่งต่ออย่างเหมาะสม รวดเร็ว ภายใต้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียชีวิต ผู้ปฏิบัติการช่วยเหลือทางการแพทย์ควรทำความคุ้นเคยกับการคัดแยกรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสามารถเลือกใช้กับสถานการณ์ที่มีความแตกต่างกัน ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

References