Published using Google Docs
พระนามของพระเจ้า
Updated automatically every 5 minutes

พระนามของพระเจ้า

พระนามของพระเจ้าเป็นเครื่องบ่งบอกอีกประการหนึ่งถึงพระลักษณะของพระเจ้า และพระนามของพระเจ้านั้นบอกให้เรารู้ถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเรา และสิ่งที่พระองค์ทำก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก พระนามของพระเจ้านั้นไม่ได้เป็นพระนามที่มนุษย์ตั้งให้พระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้เรียกพระองค์เอง และเปิดเผยให้มนุษย์ได้รับรู้

 

1. เอโลฮิม

เป็นพระนามแรกที่เราอ่านพบในพระคัมภีร์เดิม มาจากรากศัพท์คำว่า “เอล” หมายถึง องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่หรือเปี่ยมไปด้วยฤทธานุภาพ คำนี้ใช้ในพระคัมภีร์เดิม 2,500 ครั้ง พระนามนี้สนับสนุนการสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ บางครั้งใช้สำหรับพระแห่งคนต่างชาติและเจ้านาย เช่น

 

2. เยโฮวาห์ หรือยาเวห์

มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Lord หมายถึง เราเป็นซึ่งเราเป็น แสดงถึงความเสมอต้นเสมอปลาย การไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า คำนี้ใช้ประมาณ 7,000 ครั้ง ในพระคัมภีร์เดิม และคำนี้ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงดำรงอยู่โดยพระองค์เอง ดังนั้นพระองค์ผู้ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็นคือ พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และพระนามพระเยโฮวาห์บอกเราถึงงพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์และไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความสัตย์ซื่อในการรักษาพันธสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้ “เราคือพระเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา พระสิริของเรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก” (อิสยาห์ 42:8 เราคือเยโฮวาห์  นั่นเป็นนามของเรา   พระสิริของเรา   เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น  

  หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก  )

นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นความรักของพระเจ้าได้ในพระนามพระเยโฮวาห์ “เรา(เยโฮวาห์) ได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์” (เยเรมีย์ 31:3:พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล  ตรัสว่า  

  'เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์   เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป )

เช่น

การได้เห็นพระนามบางพระนามของพระเจ้าจะช่วยให้เรารู้ดีขึ้นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะแบบไหน ดังตัวอย่างต่อไปนี้:

เอโลฮิม         - พระผู้ทรงเข้มแข็ง, พระผู้เป็นเจ้า

อโดนาย         - จอมเจ้านาย, แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายและทาสผู้รับใช้ (อพยพ 4:10, 13 10:แต่โมเสสทูลพระเจ้าว่า  “ข้าแต่พระเจ้า   ข้าพระองค์มิใช่คนช่างพูด  ทั้งในกาลก่อน   และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์   ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว”  

13:แต่เขาทูลว่า   “ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิด  พระเจ้าข้า”)

เอล แอลยอน        - พระผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด, พระผู้ทรงเข้มแข็งสูงสุด (ปฐมกาล14:20:สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุด   ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในเงื้อมมือของท่าน”  

 อับรามก็ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของนั้นถวาย แก่กษัตริย์เมลคีเซเคด)

เอล โรอัย        - พระผู้ทรงเข้มแข็งผู้ทรงเห็น (ปฐมกาล16:13นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระเจ้าผู้ตรัสแก่ตนว่า “พระองค์เป็นพระเจ้า  ผู้ให้เห็น”   และพูดว่า  “ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ที่นี่   แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้อีกจริงหรือ”)

เอล ชัดดาย        - พระเจ้าผู้ทรงพลังสูงสุด (ปฐมกาล 17:1:เมื่ออายุอับรามได้เก้าสิบเก้าปี พระเจ้าทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสแก่ท่านว่า   “เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเราและเป็นคนดีพร้อม)

เอล โอลาม        - พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่นิจนิรันดร์ (อิสยาห์ 40:28:ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก  พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้)

ยาห์เวห์         - “เราเป็น” หมายถึงการทรงดำรงอยู่ด้วยต้วของพระองค์เองชั่วนิรันดร์ (อพยพ 3:13, 14, 13:ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า   “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล   และบอกพวกเขาว่า   'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย   ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน'   และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า   'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร'   ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร”   14พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า   “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น”   แล้วพระองค์ตรัสว่า  “ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น(หรือ  “เราอยู่  (ด้วย)”   ดูข้อ  12:พระองค์จึงตรัสว่า   “เราจะอยู่กับเจ้าแน่   นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้ว่าเราใช้ให้เจ้าไป   คือเมื่อเจ้านำประชากรออกจากอียิปต์แล้ว   เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้”  

)        ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย' ”)

ให้เรามาดูกันต่อไปถึงพระลักษณะของพระเจ้า; พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่าการดำรงอยู่ของพระองค์ไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย และไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ทรงเป็นองค์อมตะ ไร้จุดจบ (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:27พระเจ้าผู้ดำรงเป็นนิตย์เป็นที่อาศัย

ของท่าน   และพระกรนิรันดร์รับรองท่านอยู่   พระองค์ทรงผลักศัตรูให้ออกไปพ้น

หน้าท่าน   และตรัสว่า  ทำลายเสียเถอะ  

; สดุดี 90:2 2ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา    ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ  

 พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า   ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล 

; 1 ทิโมธี 1:17:พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์   ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ   ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์   ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน) พระเจ้าทรงเป็นองค์ถาวร ซึ่งหมายถึง พระองค์ทรงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมาย ความว่า เราสามารถวางใจ และ เชื่อถือพระองค์ได้ (มาลาคี 3:6 เพราะว่าเราคือพระเจ้าไม่มีผันแปร   โอ  บุตรยาโคบเอ๋ย   เจ้าทั้งหลายจึงไม่ถูกเผาผลาญหมด; กันดารวิถี 23:19พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา  

  และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ   ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว  พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ   ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว   จะไม่ทรงกระทำให้ สำเร็จหรือ

; สดุดี 102:26, 27 26:สิ่งเหล่านี้จะพินาศ  แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่  สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม    พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้   เหมือนเสื้อผ้า  แล้วมันก็สิ้นไป  

 27แต่พระองค์ยังคงเดิม  และปีเดือน   ของพระองค์ไม่สิ้นสุด) ไม่มีใครสามารถเทียบเท่าพระเจ้าได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์ทั้งในด้านการกระทำและความเป็นตัวตนของพระองค์ พระองค์ทรงบริบูรณ์พร้อม (2 ซามูเอล 7:22ข้าแต่พระเจ้า  ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่   ไม่มีใดๆเหมือนพระองค์   ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์   ตามที่หูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินมา; สดุดี 86:8ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   ในบรรดาพระไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์  

 และไม่มีกิจการใดๆเหมือนพระราชกิจของพระองค์  

; อิสยาห์ 40:25องค์บริสุทธิ์ตรัสว่า    เจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใดเล่า    ซึ่งเราจะเหมือนเขา  

; มัทธิว 5:48เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ   เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน   ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ) ไม่มีใครสามารถเข้าใจพระเจ้าได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครหยั่งถึงพระองค์ได้ ไม่มีใครตรวจค้นพระองค์ได้ พระองค์ทรงอยู่เหนือความเข้าใจทั้งสิ้นของเรา (อิสยาห์ 40:28ท่านไม่เคยรู้หรือ  ท่านไม่เคยได้ยินหรือ    พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์  

 คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก   พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย  

 ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้  

; สดุดี 145:3พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่  และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง  

 ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือ จะหยั่งรู้  

; โรม 11:33,34 33:โอ   พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น   ล้ำลึกเท่าใด   ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้   และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้  

 34เพราะว่า   ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า   หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์   ).

พระเจ้าทรงยุติธรรม ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงไม่เข้าข้างหรือเลือกที่รักมักที่ชังใคร (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4 “พระศิลา  พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์    พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์

ก็ยุติธรรม  พระเจ้าที่เที่ยงธรรมและปราศจากความผิด    พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง  

 ; สดุดี 18:30สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้   พระมรรคาของพระองค์บริบูรณ์  

 พระสัญญาของพระเจ้า   พิสูจน์แล้วเป็นความจริง  

 พระองค์ทรงเป็นโล่ของบรรดาผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์) ทรงมีฤทธิอำนาจสูงสุด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ตามความพอพระทัย แต่การกระทำของพระองค์จะสอดคล้องกับพระลักษณะอื่น ๆ ของพระองค์เสมอ (วิวรณ์ 19:6แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดุจเสียงฝูงชนเป็นอันมาก   ดุจเสียงน้ำมากหลาย  และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่นว่า  

  “อาเลลูยา   เพราะว่าพระเจ้าของเรา ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดทรงครอบครองอยู่  

; เยเรมีห์ 32:17'ข้าแต่พระเจ้า  คือพระองค์เอง   ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์และ ด้วยพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออกของพระองค์   สำหรับพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกิน,27“ดูเถิด เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของบรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งสิ้น   สำหรับเรามีสิ่งใดที่ยากเกินหรือ) พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่ง (สดุดี 139:7-13

 7ข้าพระองค์จะไปไหน  ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้  หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์    8ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์   พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดน   ผู้ตาย  พระองค์ทรงสถิตที่นั่น  

 9ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ   และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น  

 10แม้ถึงที่นั่น  พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์   และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้  

 11ถ้าข้าพระองค์จะว่า  “ขอเพียงความมืด   จงบังข้าไว้  และจงให้ความสว่างรอบข้าเป็นกลางคืน”  

 12สำหรับพระองค์  แม้ความมืดก็ไม่มืด   กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน    ความมืดเป็นอย่างความสว่าง  

 13เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์    พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกัน   ในครรภ์มารดาของข้าพระองค์  

; เยเรมีห์ 23:23พระเจ้าตรัสว่า  เราเป็นพระเจ้าใกล้แค่คืบ   มิใช่พระเจ้าที่อยู่ไกลด้วยดอกหรือ

) พระเจ้าทรงสัพพัญญูญาณู ซึ่งหมายความว่าทรงรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทรงรู้แม้กระทั่งความคิดของเราในขณะนั้น ดังนั้น เมื่อทรงรู้ทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จึงยุติธรรม (สดุดี 139:1-5 1:ข้าแต่พระเจ้า  พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์  

 และทรงรู้จักข้าพระองค์    2เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น   พระองค์ทรงทราบ  

  พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของ   ข้าพระองค์ได้แต่ไกล 3พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการ นอนของข้าพระองค์   และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์    4ข้าแต่พระเจ้า  แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด   พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว 5พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า  และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์  

; สุภาษิต 5:21เพราะว่าทางของคนก็อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า  

  และพระองค์ทรงเฝ้าดูวิถีทั้งสิ้นของเขา)

พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียงแต่ไม่มีใครอื่นใดอีกแล้วเท่านั้น แต่ พระองค์คือผู้เดียวที่ทรงสามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดและความโหยหาในหัวใจของเราได้ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสมควรที่จะได้รับการนมัสการและความจงรักภักดี (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4โอ   คนอิสราเอล   จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว) พระเจ้าทรงชอบธรรม ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงไม่สามารถและไม่มีวันเมินเฉยต่อการกระทำที่ผิดได้ ดังนั้น อันเนื่องมาจากความยุติธรรมและเที่ยงธรรมของพระองค์นี่เองที่เราทั้งหลายจะได้รับการให้อภัยบาป พระเยซูจึงทรงต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า เมื่อทรงรับความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์ (อพยพ 9:27ฟาโรห์จึงทรงใช้คนไปเรียกโมเสสและอาโรนมาเฝ้า   แล้วตรัสว่า   “ครั้งนี้เราทำบาปแน่แล้ว   พระเจ้าเป็นฝ่ายถูก  เราและชนชาติของเราผิด; มัทธิว 27:45-46 45:แล้วก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน   ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง 46ครั้นประมาณบ่ายสามโมง   พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า   “เอลี   เอลี   ลามาสะบักธานี”แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

; โรม 3:21-26 21:แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ 22คือความชอบธรรมของพระเจ้า   ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ   เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน 23เพราะว่าทุกคนทำบาป   และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม   โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์   โดยความเชื่อจึงได้ผล   ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า   ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย   และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย).

พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งหมายความว่าพระองค์เป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด; แม้เอาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเข้ามารวมไว้ด้วยกัน ด้วยรู้หรือไม่รู้ก็ตามที ก็ยังไม่สามารถขวางน้ำพระทัยของพระองค์ได้ (สดุดี 93:1พระเจ้าทรงครอบครอง   พระองค์ทรงสวมความยิ่งใหญ่  พระเจ้าทรงสวมฉลองพระองค์พระองค์ ทรงเอาพระกำลังคาดพระองค์  

 โลกได้สถาปนาไว้แล้ว  มันจะไม่หวั่นไหว 

; 95:3เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง    และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย  

; เยเรมีย์ 23:20ความกริ้วของพระเจ้าจะไม่หันกลับ  จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ  

  ตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์   ในวันหลังๆ   เจ้าทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง  

) พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ (ยอห์น 1:18ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย   พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา   พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว; 4:24พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ   และผู้ที่นมัสการพระองค์   ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” ) พระเจ้าทรงเป็นตรีเอกานุภาพ หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นสามพระภาคในพระองค์เอง ทรงเสมอเหมือนกันหมด เท่าเทียมกันหมดในฤทธิอำนาจและพระสิริ จงสังเกตุว่าในข้อพระคัมภึร์ย่อหน้าแรก “พระนาม” ที่กล่าวถึง เป็นเอกพจน์ ทั้ง ๆ ที่เป็นการกล่าวถึงพระภาคทั้งสาม คือ “พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:19เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ   ให้เป็นสาวกของเรา   ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา   พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์

; มาระโก 1:9-11 9:ต่อมาพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และได้ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 10พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ   ในทันใดนั้นก็ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออก   และพระวิญญาณดุจนกพิราบลงมาสู่(หรือ เข้าใน) พระองค์ 11แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า   “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา   เราชอบใจท่านมาก”

) พระเจ้าทรงเป็นความสัตย์จริง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงกลมกลืนในความเป็นพระองค์ ไม่มีใครติดสินบนพระองค์ได้ และทรงกล่าวเท็จไม่ได้ (สดุดี117:22เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อเรานั้นใหญ่หลวงและความสัตย์สุจริตของพระเจ้าดำรงเป็นนิตย์   จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด

; 1 ซามูเอล 15:29และผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะ ไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่”)

พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงห่างไกลจากมลทินทางด้านคุณธรรมทั้งปวง และทรงไม่เล่นกับมัน ความชั่วร้ายทำให้พระองค์กริ้ว พระคัมภีร์พูดถึงไฟควบคู่ไปกับความบริสุทธิ์ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเพลิงที่เผาผลาญ (อิสยาห์ 6:3ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า  

  “บริสุทธิ์  บริสุทธิ์  บริสุทธิ์  พระเจ้าจอมโยธา   แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์”  

; ฮะบากุก 1:13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์   เกินที่จะทอดพระเนตรการชั่ว    จะทรงมองดูการผิดก็ไม่ได้     ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ    และทรงเงียบอยู่เมื่อคนอธรรมกลืน  

 คนที่ชอบธรรมเกินกว่าตัวเขาเสีย  

; อพยพ 3:2ทูตของพระเจ้าก็ปรากฏแก่โมเสส ท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเปลวไฟ   โมเสสมองดู   เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่  แต่มิได้ไหม้โทรมไป ,4ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู   จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า  “โมเสส  โมเสสเอ๋ย”  โมเสสทูลตอบว่า  “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”  

,5พระองค์จึงตรัสว่า  “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่   ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์”  ; ฮีบรู12:29เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ

) พระเจ้าทรงสง่างาม ซึ่งรวมไปถึงความดีงาม ความเมตตากรุณา และความรัก คำเหล่านี้ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความหมายของคำว่าความดีงามของพระองค์ หากไม่ใช่เพราะพระคุณของพระองค์แล้ว พระลักษณะที่เหลือคงทำให้เราเข้าถึงพระองค์ไม่ได้เป็นแน่ ขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะรู้จักเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว (อพยพ 34:6 พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน  ตรัสว่า   “พระเยโฮวาห์   พระเยโฮวาห์   พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา  ทรงกอปรด้วยพระคุณ  ทรงกริ้วช้า   และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง  และความสัตย์จริง ; สดุดี 31:19ความดีของพระองค์อุดมสักเท่าใด  

 ที่พระองค์ทรงสะสมไว้เพื่อบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระองค์    และทรงกระทำไว้เพื่อผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์  

 ต่อหน้าบรรดาบุตรของมนุษย์  ; 1 เปโตร 1:3สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา   ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา   ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่   เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่   โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ; ยอห์น 3:16เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก   จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์   เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ   แต่มีชีวิตนิรันดร์ ; ยอห์น 17:3และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์   คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว   และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา)