พระนามของพระเจ้า
พระนามของพระเจ้าเป็นเครื่องบ่งบอกอีกประการหนึ่งถึงพระลักษณะของพระเจ้า และพระนามของพระเจ้านั้นบอกให้เรารู้ถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเรา และสิ่งที่พระองค์ทำก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก พระนามของพระเจ้านั้นไม่ได้เป็นพระนามที่มนุษย์ตั้งให้พระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้เรียกพระองค์เอง และเปิดเผยให้มนุษย์ได้รับรู้
เป็นพระนามแรกที่เราอ่านพบในพระคัมภีร์เดิม มาจากรากศัพท์คำว่า “เอล” หมายถึง องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่หรือเปี่ยมไปด้วยฤทธานุภาพ คำนี้ใช้ในพระคัมภีร์เดิม 2,500 ครั้ง พระนามนี้สนับสนุนการสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ บางครั้งใช้สำหรับพระแห่งคนต่างชาติและเจ้านาย เช่น
มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Lord หมายถึง เราเป็นซึ่งเราเป็น แสดงถึงความเสมอต้นเสมอปลาย การไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า คำนี้ใช้ประมาณ 7,000 ครั้ง ในพระคัมภีร์เดิม และคำนี้ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงดำรงอยู่โดยพระองค์เอง ดังนั้นพระองค์ผู้ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็นคือ พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และพระนามพระเยโฮวาห์บอกเราถึงงพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์และไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความสัตย์ซื่อในการรักษาพันธสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้ “เราคือพระเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา พระสิริของเรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก” (อิสยาห์ 42:8 เราคือเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา พระสิริของเรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น
หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก )
นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นความรักของพระเจ้าได้ในพระนามพระเยโฮวาห์ “เรา(เยโฮวาห์) ได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์” (เยเรมีย์ 31:3:พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า
'เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป )
เช่น
การได้เห็นพระนามบางพระนามของพระเจ้าจะช่วยให้เรารู้ดีขึ้นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะแบบไหน ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
เอโลฮิม - พระผู้ทรงเข้มแข็ง, พระผู้เป็นเจ้า
อโดนาย - จอมเจ้านาย, แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายและทาสผู้รับใช้ (อพยพ 4:10, 13 10:แต่โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มิใช่คนช่างพูด ทั้งในกาลก่อน และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว”
13:แต่เขาทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิด พระเจ้าข้า”)
เอล แอลยอน - พระผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด, พระผู้ทรงเข้มแข็งสูงสุด (ปฐมกาล14:20:สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในเงื้อมมือของท่าน”
อับรามก็ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของนั้นถวาย แก่กษัตริย์เมลคีเซเคด)
เอล โรอัย - พระผู้ทรงเข้มแข็งผู้ทรงเห็น (ปฐมกาล16:13นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระเจ้าผู้ตรัสแก่ตนว่า “พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ให้เห็น” และพูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ที่นี่ แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้อีกจริงหรือ”)
เอล ชัดดาย - พระเจ้าผู้ทรงพลังสูงสุด (ปฐมกาล 17:1:เมื่ออายุอับรามได้เก้าสิบเก้าปี พระเจ้าทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสแก่ท่านว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเราและเป็นคนดีพร้อม)
เอล โอลาม - พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่นิจนิรันดร์ (อิสยาห์ 40:28:ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้)
ยาห์เวห์ - “เราเป็น” หมายถึงการทรงดำรงอยู่ด้วยต้วของพระองค์เองชั่วนิรันดร์ (อพยพ 3:13, 14, 13:ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร” 14พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น(หรือ “เราอยู่ (ด้วย)” ดูข้อ 12:พระองค์จึงตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้ว่าเราใช้ให้เจ้าไป คือเมื่อเจ้านำประชากรออกจากอียิปต์แล้ว เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้”
) ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย' ”)
ให้เรามาดูกันต่อไปถึงพระลักษณะของพระเจ้า; พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่าการดำรงอยู่ของพระองค์ไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย และไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ทรงเป็นองค์อมตะ ไร้จุดจบ (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:27พระเจ้าผู้ดำรงเป็นนิตย์เป็นที่อาศัย
ของท่าน และพระกรนิรันดร์รับรองท่านอยู่ พระองค์ทรงผลักศัตรูให้ออกไปพ้น
หน้าท่าน และตรัสว่า ทำลายเสียเถอะ
; สดุดี 90:2 2ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล
; 1 ทิโมธี 1:17:พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน) พระเจ้าทรงเป็นองค์ถาวร ซึ่งหมายถึง พระองค์ทรงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมาย ความว่า เราสามารถวางใจ และ เชื่อถือพระองค์ได้ (มาลาคี 3:6 เพราะว่าเราคือพระเจ้าไม่มีผันแปร โอ บุตรยาโคบเอ๋ย เจ้าทั้งหลายจึงไม่ถูกเผาผลาญหมด; กันดารวิถี 23:19พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา
และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้ สำเร็จหรือ
; สดุดี 102:26, 27 26:สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป
27แต่พระองค์ยังคงเดิม และปีเดือน ของพระองค์ไม่สิ้นสุด) ไม่มีใครสามารถเทียบเท่าพระเจ้าได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์ทั้งในด้านการกระทำและความเป็นตัวตนของพระองค์ พระองค์ทรงบริบูรณ์พร้อม (2 ซามูเอล 7:22ข้าแต่พระเจ้า ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดๆเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินมา; สดุดี 86:8ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในบรรดาพระไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์
และไม่มีกิจการใดๆเหมือนพระราชกิจของพระองค์
; อิสยาห์ 40:25องค์บริสุทธิ์ตรัสว่า เจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใดเล่า ซึ่งเราจะเหมือนเขา
; มัทธิว 5:48เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ) ไม่มีใครสามารถเข้าใจพระเจ้าได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครหยั่งถึงพระองค์ได้ ไม่มีใครตรวจค้นพระองค์ได้ พระองค์ทรงอยู่เหนือความเข้าใจทั้งสิ้นของเรา (อิสยาห์ 40:28ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์
คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย
ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้
; สดุดี 145:3พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง
ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือ จะหยั่งรู้
; โรม 11:33,34 33:โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้
34เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ ).
พระเจ้าทรงยุติธรรม ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงไม่เข้าข้างหรือเลือกที่รักมักที่ชังใคร (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4 “พระศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์ พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์
ก็ยุติธรรม พระเจ้าที่เที่ยงธรรมและปราศจากความผิด พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง
; สดุดี 18:30สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้ พระมรรคาของพระองค์บริบูรณ์
พระสัญญาของพระเจ้า พิสูจน์แล้วเป็นความจริง
พระองค์ทรงเป็นโล่ของบรรดาผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์) ทรงมีฤทธิอำนาจสูงสุด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ตามความพอพระทัย แต่การกระทำของพระองค์จะสอดคล้องกับพระลักษณะอื่น ๆ ของพระองค์เสมอ (วิวรณ์ 19:6แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดุจเสียงฝูงชนเป็นอันมาก ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่นว่า
“อาเลลูยา เพราะว่าพระเจ้าของเรา ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดทรงครอบครองอยู่
; เยเรมีห์ 32:17'ข้าแต่พระเจ้า คือพระองค์เอง ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์และ ด้วยพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออกของพระองค์ สำหรับพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกิน,27“ดูเถิด เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของบรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งสิ้น สำหรับเรามีสิ่งใดที่ยากเกินหรือ) พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่ง (สดุดี 139:7-13
7ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ 8ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดน ผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น
9ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น
10แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้
11ถ้าข้าพระองค์จะว่า “ขอเพียงความมืด จงบังข้าไว้ และจงให้ความสว่างรอบข้าเป็นกลางคืน”
12สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง
13เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกัน ในครรภ์มารดาของข้าพระองค์
; เยเรมีห์ 23:23พระเจ้าตรัสว่า เราเป็นพระเจ้าใกล้แค่คืบ มิใช่พระเจ้าที่อยู่ไกลด้วยดอกหรือ
) พระเจ้าทรงสัพพัญญูญาณู ซึ่งหมายความว่าทรงรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทรงรู้แม้กระทั่งความคิดของเราในขณะนั้น ดังนั้น เมื่อทรงรู้ทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จึงยุติธรรม (สดุดี 139:1-5 1:ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์
และทรงรู้จักข้าพระองค์ 2เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ
พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของ ข้าพระองค์ได้แต่ไกล 3พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการ นอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ 4ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว 5พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์
; สุภาษิต 5:21เพราะว่าทางของคนก็อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า
และพระองค์ทรงเฝ้าดูวิถีทั้งสิ้นของเขา)
พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียงแต่ไม่มีใครอื่นใดอีกแล้วเท่านั้น แต่ พระองค์คือผู้เดียวที่ทรงสามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดและความโหยหาในหัวใจของเราได้ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสมควรที่จะได้รับการนมัสการและความจงรักภักดี (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว) พระเจ้าทรงชอบธรรม ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงไม่สามารถและไม่มีวันเมินเฉยต่อการกระทำที่ผิดได้ ดังนั้น อันเนื่องมาจากความยุติธรรมและเที่ยงธรรมของพระองค์นี่เองที่เราทั้งหลายจะได้รับการให้อภัยบาป พระเยซูจึงทรงต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า เมื่อทรงรับความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์ (อพยพ 9:27ฟาโรห์จึงทรงใช้คนไปเรียกโมเสสและอาโรนมาเฝ้า แล้วตรัสว่า “ครั้งนี้เราทำบาปแน่แล้ว พระเจ้าเป็นฝ่ายถูก เราและชนชาติของเราผิด; มัทธิว 27:45-46 45:แล้วก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง 46ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”
; โรม 3:21-26 21:แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ 22คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน 23เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย).
พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งหมายความว่าพระองค์เป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด; แม้เอาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเข้ามารวมไว้ด้วยกัน ด้วยรู้หรือไม่รู้ก็ตามที ก็ยังไม่สามารถขวางน้ำพระทัยของพระองค์ได้ (สดุดี 93:1พระเจ้าทรงครอบครอง พระองค์ทรงสวมความยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงสวมฉลองพระองค์พระองค์ ทรงเอาพระกำลังคาดพระองค์
โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
; 95:3เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย
; เยเรมีย์ 23:20ความกริ้วของพระเจ้าจะไม่หันกลับ จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ
ตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์ ในวันหลังๆ เจ้าทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง
) พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ (ยอห์น 1:18ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว; 4:24พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” ) พระเจ้าทรงเป็นตรีเอกานุภาพ หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นสามพระภาคในพระองค์เอง ทรงเสมอเหมือนกันหมด เท่าเทียมกันหมดในฤทธิอำนาจและพระสิริ จงสังเกตุว่าในข้อพระคัมภึร์ย่อหน้าแรก “พระนาม” ที่กล่าวถึง เป็นเอกพจน์ ทั้ง ๆ ที่เป็นการกล่าวถึงพระภาคทั้งสาม คือ “พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:19เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
; มาระโก 1:9-11 9:ต่อมาพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และได้ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 10พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดนั้นก็ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณดุจนกพิราบลงมาสู่(หรือ เข้าใน) พระองค์ 11แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”
) พระเจ้าทรงเป็นความสัตย์จริง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงกลมกลืนในความเป็นพระองค์ ไม่มีใครติดสินบนพระองค์ได้ และทรงกล่าวเท็จไม่ได้ (สดุดี117:22เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อเรานั้นใหญ่หลวงและความสัตย์สุจริตของพระเจ้าดำรงเป็นนิตย์ จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด
; 1 ซามูเอล 15:29และผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะ ไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่”)
พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงห่างไกลจากมลทินทางด้านคุณธรรมทั้งปวง และทรงไม่เล่นกับมัน ความชั่วร้ายทำให้พระองค์กริ้ว พระคัมภีร์พูดถึงไฟควบคู่ไปกับความบริสุทธิ์ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเพลิงที่เผาผลาญ (อิสยาห์ 6:3ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า
“บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์”
; ฮะบากุก 1:13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์ เกินที่จะทอดพระเนตรการชั่ว จะทรงมองดูการผิดก็ไม่ได้ ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ และทรงเงียบอยู่เมื่อคนอธรรมกลืน
คนที่ชอบธรรมเกินกว่าตัวเขาเสีย
; อพยพ 3:2ทูตของพระเจ้าก็ปรากฏแก่โมเสส ท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเปลวไฟ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้โทรมไป ,4ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส โมเสสเอ๋ย” โมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
,5พระองค์จึงตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” ; ฮีบรู12:29เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ
) พระเจ้าทรงสง่างาม ซึ่งรวมไปถึงความดีงาม ความเมตตากรุณา และความรัก คำเหล่านี้ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความหมายของคำว่าความดีงามของพระองค์ หากไม่ใช่เพราะพระคุณของพระองค์แล้ว พระลักษณะที่เหลือคงทำให้เราเข้าถึงพระองค์ไม่ได้เป็นแน่ ขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะรู้จักเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว (อพยพ 34:6 พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ; สดุดี 31:19ความดีของพระองค์อุดมสักเท่าใด
ที่พระองค์ทรงสะสมไว้เพื่อบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ และทรงกระทำไว้เพื่อผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
ต่อหน้าบรรดาบุตรของมนุษย์ ; 1 เปโตร 1:3สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ; ยอห์น 3:16เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ; ยอห์น 17:3และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา)