พระลักษณะของพระเจ้า
พระเจ้าทรงมีพระลักษณะอย่างไร มนุษย์คงยากที่จะเข้าใจได้หมด เราสามารถหาคำตอบได้ใน พระวจนะของพระองค์ พระคัมภีร์ไม่เคยตอบคำถามว่าพระเจ้าคือใคร แต่พระองค์ได้ทรงสำแดงพระองค์เองผ่านทางพระลักษณะของพระองค์ ซึ่งหมายถึงอะไรก็ตามที่บอกถึงความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่เปิดเผยพระองค์เอง มนุษย์ก็ไม่สามารถจะรู้จักกับพระเจ้าได้ พระลักษณะของพระเจ้าสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของพระองค์
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในโลกนี้ และพระองค์ทรงมีความผูกพันพิเศษกับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ไม่ได้ปล่อยปะละเลยในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ซึ่งเรียกว่าพระลักษณะของพระองค์ ซึ่งมนุษย์ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
พระองค์ไม่มีเนื้อหนังแบบมนุษย์ ไม่มีเนื้อและกระดูก นั่นก็แสดงว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นรูปเคารพหรือรูปแกะสลักใดๆ มนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่เราสามารถสัมผัสกับพระเจ้าได้ด้วยจิตวิญญาณของเรา มนุษย์สามารถมองเห็นภาพสะท้อนแห่งพระสิริของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าเห็นเนื้อแท้ของพระองค์จริงๆ
ในเมื่อมนุษย์มีตัวบุคคล พระวิญญาณของพระเจ้าก็ย่อมมีตัวบุคคลด้วยเช่นกัน ถ้าไม่เช่นนั้นสถานะของพระองค์ก็ต่ำกว่ามนุษย์ มนุษย์เมื่อตายแล้วร่างกายก็สู่ความเน่าเปื่อย แต่ความเป็นบุคคลยังคงอยู่ และมนุษย์สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคล พระองค์ทรงคิด ทรงกระทำ รู้สึก และทรงตรัส ซึ่งหมายความว่า พระองค์ได้ทรงสื่อสารกับเราได้
พระเจ้าทรงเป็นทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในมัทธิว 11:27 กล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร” เปาโลเขียนไว้ว่า พระดำริของพระองค์นั้นไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น(รม.8:27:และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณเพราะว่า(หรือ ว่า) พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า)
ในขณะที่มนุษย์จะดำรงอยู่ได้ต้องพึ่งปัจจัยนอกตัว แต่พระเจ้าไม่ต้องพึ่งสิ่งใดเพื่อให้พระองค์คงอยู่ และพระองค์ก็ไม่ได้ถือกำเนิดจากแหล่งใดๆ การทรงดำรงอยู่ของพระองค์นั้นเป็นธรรมชาติของพระองค์อยู่แล้ว
พระองค์ไม่ถูกจำกัดอยู่ด้วยสถานที่ พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกหนทุกแห่งและเหนือธรรมชาติ พระองค์ทรงครอบครองครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าเมื่อใด เวลาใด การทรงดำรงอยู่ของพระองค์นั้นเป็นธรรมชาติของพระองค์อยู่แล้ว
พระเจ้าไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด เวลาไม่จำกัดพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิดของเวลา นิรันดร์กาลสำหรับพระเจ้าคือปัจจุบันตลอด สำหรับพระเจ้านั้นไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่แตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าเวลาไม่มีความหมายสำหรับพระเจ้า แต่หมายความว่าพระองค์ทรงเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในขณะเดียวกัน
ความไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าทำให้เรารู้สึกสบายใจ เพราะมีผู้หนึ่งคอยควบคุมดูแลชีวิตของเราอยู่ ถ้าพระองค์สัญญาสิ่งใดกับเรา พระสัญญาของพระองค์จะยังคงอยู่ตลอดไป ความแน่นอนมั่นคงในพระเจ้า คือพระองค์ทรงไม่เปลี่ยนแปลง มนุษย์เรามีความอนิจจัง ไม่แน่นอน มีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า “ใจมนุษย์แปรเปลี่ยนได้เสมอไปตามกาลเวลา” แต่พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง แม้ว่ามนุษย์จะเปลี่ยนไป เช่น หลงออกจากทางพระเจ้า และเป็นคนบาป แต่พระเจ้ายังทรงรักมนุษย์อยู่เสมอ และพระองค์ปรารถนาให้มนุษย์กลับมาหาพระองค์
2. พระลักษณะที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
หมายความว่าพระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งในโลกนี้ และพระองค์ทรงครอบครองเหนือจักรวาล พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลก พระองค์ทรงเลือกอย่างอิสระในการสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ให้มีความสมบูรณ์ เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ให้อิสระเสรีภาพแก่มนุษย์ในการเลือกทำสิ่งต่างๆและพระองค์ทรงอนุญาตในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความบาปด้วย แต่สิ่งสำคัญ มนุษย์ต้องรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่ให้อิสระภาพในการทำสิ่งต่างๆ มีความครบถ้วนบริบูรณ์ในพระองค์เอง โดย ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นใด เอ. ดับบลิว. โทเซอร์ กล่าวไว้ว่า เนื่องจากพระองค์มีฤทธิ์อำนาจเหนือทุกอย่างในจักรวาล องค์พระผู้เป็นเจ้าผุ้ทรงฤทธานุภาพสามารถกกกระทำทุกอย่างได้โดยง่าย
พระองค์ไม่ได้อยู่แค่ที่ใดที่หนึ่ง แต่พระองค์ทรงอยู่ทุกแห่งหนกับมนุษย์ทุกคนในเวลาเดียวกัน พระองค์ประทับอยู่ในโลกนี้ และ พระองค์สามารถมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับมนุษย์ทุกคนได้ แต่มนุษย์ได้ แต่มนุษย์ต้องถ่อมใจลงและเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างชีวิต พระองค์ประทับอยู่กับเราตลอดเวลา และไม่มีใครสามารถหลบพ้นพระเจ้าได้ (สดด.139:7-10: 7:ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์
8:ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดน ผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น 9:ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น
10: แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้) และมีบางคนกล่าวแย้งว่า ถ้าหากพระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งแล้ว พระองค์จะต้องไม่บริสุทธิ์อย่างแน่นอน เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่ไม่บริสุทธิ์จะต้องสัมผัสกับพระองค์ และทำให้พระองค์เป็นมลทินไป ช่างเป็นความสุขอบอุ่นใจอันพิเศษสุดที่ได้รับรู้ว่าไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับความยากลำบากใดๆ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ บางทีอาจมีความรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ที่นั่น แต่ความจริงแล้วพระองค์อยู่ที่นั่นเสมอ
หรือทรงสัพพัญญู คือ พระเจ้าทรงไม่มีความจำกัดในความรู้ความเข้าใจที่สมบูรณ์ พระเจ้าทรงเข้าใจความจริง พระองค์รู้ในทุกสิ่งในขณะที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ได้เลย พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พระองค์ทรงทราบ พระเจ้าทรงทราบว่า บนท้องฟ้า มีดวงดาวกี่ดวงและพระองค์ทรงทราบชื่อของมัน แม้แต่เส้นผมของเรา พระองค์ก็ทรงนับไว้ทุกเส้น พระองค์ทรงทราบความลึกลับทั้งหมดของโลก พระองค์มองดูเราทุกเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ พระองค์ทรงทราบและเมื่อเราทำบาป ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด ความพูด หรือการกระทำ พระองค์ก็ทรงทราบ มนุษย์ส่วนใหญ่มักเลือกทำบาปในที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น และจะรู้สึกอายถ้าถูกจับได้ แต่รู้หรือไม่ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราทำต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเสมอ เราซ่อนจากพระเจ้าไม่ได้เลย ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอุปสรรคในการทรงเห็นของพระเจ้าทรงสัพพัญญู แม้แต่ความมืดในเวลากลางคืนก็ไม่ได้เป็นม่านขวางกั้นพระเจ้า ธรรมชาติของมนุษย์มักรักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม (ยน.3:19: หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม)
แต่เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์พยายามปกปิดความบาปของเขา แสงสว่างของพระเจ้าจะเปิดเผยถึงสิ่งเหล่านั้น
3. พระลักษณะที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม
พระองค์ทรงเป็นผู้ดูแลการเป็นอยู่ของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสร้างอย่างต่อเนื่อง ในพระคัมภีร์มีหลายตอนที่พูดถึงความรักของพระเจ้า เช่น ความรักของพระเจ้า (1ยน.4:8:ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ) ความรักมั่นคงของพระเจ้า (สดด.89:49:ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้า ความรักมั่นคง ในกาลก่อนของพระองค์อยู่ที่ไหน
ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณต่อดาวิด โดยความสัตย์สุจริตของพระองค์) พระคุณ (กจ.20:24:แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น) พระเมตตา (อฟ.2:4:แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น) เรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง การกระทำแห่งความรักที่ใหญ่ที่สุดคือ การสำแดงความรักของพระองค์ ที่พระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่ความบาปของมนุษย์ ซึ่งไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แล้ว ความรักของพระเจ้านั้นสุดที่มนุษย์จะพรรณนาได้ เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ความรักของพระเจ้านั้นล้ำลึกและละเอียดอ่อน สามารถสัมผัสได้ด้วยชีวิตและความจริง เมื่อพระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย พระองค์จึงมี พระประสงค์ให้เรารักและวางใจในพระองค์ ถ้าเราอยากรู้ว่าความรักของพระเจ้ามีมากแค่ไหน ให้พิจารณาดูกางเขนที่พระองค์ยอมตายแทนเรา ความรักของพระเจ้าที่ส่องมาในหัวใจของเรา ทำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเราไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์เลิกรักเราได้
คำว่า “บริสุทธิ์” ในพระคัมภีร์จะหมายถึง “การแยกออก หรืออุทิศถวาย” พระเจ้าถูกแยกออกและถูกยกให้สูงเหนือสิ่งที่เป็นชั่วคราวต่างๆ เช่น ความบาป ความไม่สมบูรณ์ และความผิด นั่นหมายความว่า พระองค์ไม่มีบาปใดๆ พระองค์ทรงสะอาดหมดจด ไม่ด่างพร้อยประการใดเลย ที่สำคัญพระองค์ทรงเกลียดความบาป และมนุษย์จะต้องรับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม3:23:เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า)
ในที่นี้หมายความว่า ทรงยุติธรรม เที่ยงธรรม และพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางแห่งความชอบธรรม ทรงเป็นผู้ดีรอบคอบ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนทั้งหลายด้วยความเสมอภาค ไม่เอนเอียง การที่พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยความจริง เป็นแหล่งก่อให้เกิดศีลธรรมในสังคมของมนุษย์ พระเจ้าทรงเป็นบรรทัดฐานแห่งชีวิตเรื่องความชอบธรรมและความถูกต้อง ความชอบธรรมของพระเจ้าได้สำแดงโดยการพิพากษาลงโทษบาปตามการกระทำของแต่ละคน และพระเจ้าก็ปรารถนาให้มนุษย์ดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่ว่าเราต้องเผชิญกับการทดลองใดๆ ให้เราที่จะมั่นใจว่าพระเจ้าทรงประทานกำลังให้เราที่จะสามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น
พระเจ้าทรงรักษาพระวจนะของพระองค์ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้พระองค์ไม่เคยลืม ในขณะที่มนุษย์มักจะลืมสัญญาที่ให้ไว้กับคนอื่นได้ แต่พระเจ้าไม่เคยลืม ที่สำคัญความสัตย์ซื่อของพระเจ้านั้นพระองค์ยังทรงเลี้ยงดูเราให้เราต้องขาดแคลน พระเจ้าทรงรู้ถึงความต้องการ และความเพียงพอของเรา
การได้เห็นพระนามบางพระนามของพระเจ้าจะช่วยให้เรารู้ดีขึ้นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะแบบไหน