ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
หน่วยที่ 1 โครงสร้างทางสังคม รายวิชา สังคมศึกษาพื้นฐาน (ส31103) ผุ้สอน นายภีมพล เหมภูมิ
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม[1] นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงก่อนรัชกาลที่ 4 คนไทยมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
เริ่มมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งสังคมไทย
ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมตะวันตกมากยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
อย่างรวดเร็ว ต่อมาได้มีการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงแทบ
ทุกด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมืองการปกครอง ด้านการศึกษา ด้านเทคโนโลยี
เมื่อกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในสมัยปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะหลังจากที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2504
สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยมีการกำหนดทิศทาง
เป้าหมาย และแบบแผนมากขึ้น
ประเภทของการเปลี่ยนแปลงในสังคม
การเปลี่ยนแปลงในสังคม สามารถจำแนกประเภทได้ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงระดับจุลภาค เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลที่สร้างความสัมพันธ์
ที่แปลกใหม่ต่อกัน และเป็นการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม เช่น การผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายโดยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งออกขายในนามของชุมชนหรือตำบล แผนการผลิตสินค้าด้วยวิธีผลิตตามประเพณี หรือการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน ที่ให้ครูถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนฝ่ายเดียวเป็นการให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เป็นต้น
2. การเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค เป็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบถอนรากถอนโคนทั้งระบบสังคม เช่น การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น
ระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7 หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจีนเป็นระบอบคอมมิวนิสต์
ในพ.ศ. 2492 เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมทางระดับจุลภาคและมหภาค ล้วนมีผลกระทบต่อชีวิตของคนในสังคมในด้านต่างๆ เช่น ระเบียบแบบแผนในการดำเนินชีวิตของผู้คน เป็นต้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
1. ปัจจัยภายใน
1.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ลักษณะของพื้นที่ ตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เป็นปัจจัยที่ช่วยกำหนดการจัดระเบียบและสภาพต่างๆ ในสังคม
1.2 การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากร การเปลี่ยนแปลงเรื่องขนาดและการกระจายของประชากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อาจเกิดการรับวัฒนธรรมไปใช้ หรือเกิดการผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมของตน
2. ปัจจัยภายนอก
2.1 สังคมมีการติดต่อสมาคมกับบุคคลหรือกลุ่มต่างๆ บ่อยครั้ง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากและรวดเร็ว ในทำนองเดียวกันสังคมที่อยู่โดดเดี่ยวจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก หรือ
เกิดการคงที่ทางวัฒนธรรม
2.2 สังคมที่มีการแข่งขันจะมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมากกว่าสังคมที่มีแบบแผน หรือโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมในแบบเดียวกัน
2.3 สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจะมีทัศนคติที่แตกต่างกันออกไป ทัศนคติและ
ค่านิยมเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงไร เช่น ในสังคมที่
ยึดมั่นขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมจะเป็นสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยและช้ามาก ส่วนสังคมที่มี
ค่านิยมที่ส่งเสริมการยอมรับให้มีสิ่งใหม่ๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว
2.4 ความต้องการรับรู้สิ่งใหม่ๆ ของสมาชิกในสังคม เช่น การให้บริการข่าวสาร
ทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่
2.5 เมื่อพื้นฐานทางวัฒนธรรมเปลี่ยนไป จะทำให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น ในปัจจุบัน
ที่พื้นฐานทางวัฒนธรรมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ากว่าในอดีต ทำให้สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุต่างๆ มาใช้ในการผลิตสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุ
ให้วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป
รูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นนั้น มีสาเหตุที่สำคัญจากการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามธรรมชาติประการหนึ่ง กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากมนุษย์เป็นผู้กระทำอีกประการหนึ่ง แต่
ในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงสามารถทำให้เกิดรูปแบบของการเปลี่ยนแปลง 2 แบบ ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงแบบเส้นตรง เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กล่าวว่า ทุกสังคมมีวิวัฒนาการแบบเดียวกันตลอด โดยเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่มีความเจริญของอารยธรรมขั้นต่ำไปสู่สังคม
ที่มีความเจริญของอารยธรรมระดับขั้นสูงต่อไป
2. การเปลี่ยนแปลงแบบวัฏจักร เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไม่มีความสม่ำเสมอ สังคมจะมีจุดเริ่มต้น จากนั้นจึงเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุดก็จะเสื่อมสลายไป ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ เมื่อสังคมมีความเจริญถึงจุดสูงสุดแล้ว จะค่อยๆ เสื่อมสลายลงโดยไม่ได้สูญหายไป แต่จะมีการปรับปรุงและเจริญขึ้นมาใหม่ เช่น สังคมของกรีก อียิปต์ จีน อินเดีย
ผลของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
สังคมทุกสังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาสังคมของตนให้ก้าวหน้าไปสู่ความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปมักจะเป็นในลักษณะการรับความเจริญ วิถีการดำเนินชีวิตจากสังคมอื่นมาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในสังคมของตน ผลจากการเปลี่ยนแปลงมีทั้งผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ
1. ผลดีที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทำให้มนุษย์ในสังคมมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถติดต่อสัมพันธ์กันได้สะดวกรวดเร็วทั่วถึงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผลจากการประดิษฐ์คิดค้นมีผลต่อสังคมในแง่ความเจริญก้าวหน้า เกิดความสะดวกสบายแก่คนในสังคม มีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีตามมาเป็นอย่างมาก เช่น การประดิษฐ์รถยนต์ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์
2. ผลเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ได้แก่ ปัญหาที่เกิดตามมา เช่น ปัญหามลพิษ ซึ่งเกิดจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ค่านิยมทางวัตถุที่นำไปสู่ความสะดวกสบาย แต่ส่งผลกระทบต่อระบบความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในสังคมเปลี่ยนแปลงไป
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย
สังคมของไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง 3 ด้าน คือ การเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างของประชากร โครงสร้างทางสังคม และวัฒนธรรมและพฤติกรรมของสมาชิกสังคม
1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร คนไทยในอดีตมีการรวมกลุ่มกัน เพื่อช่วยเหลือ
ตัวเองและอยู่ร่วมกันเหมือนครอบครัวใหญ่ซึ่งเป็นระบบครอบครัวและเครือญาติ ต่อจากนั้นก็ขยาย
ระบบเครือญาติออกมาเป็นรูปแบบของการปกครองแบบหัวหน้ากลุ่มเรียกว่า “พ่อบ้าน” ลูกกลุ่มเรียกว่า
“ลูกบ้าน” จนกระทั่งปัจจุบันได้มีการใช้รูปแบบการปกครองในหลายๆ แบบ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่ง
ส่วนมากแล้วประชาชนจะเป็นคนตัดสินใจเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองตนเองโดยใช้วิธีการเลือกตั้ง
สำหรับจำนวนประชากรของไทย ใน พ.ศ. 2531 ได้มีการสำรวจสำมะโนประชากรพบว่า
ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 36 ล้านคน ต่อมา พ.ศ. 2533 เพิ่มขึ้นเป็น 56 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึง พ.ศ. 2561 ( ธันวาคม) มีจำนวนประชากรประมาณ 66 ล้านคน
นักเรียนสามารถหาสถิติประชากร ระดับประเทศ จังหวัด หมู่บ้านได้ที่นี่ 🌄ความรู้เพิ่มเติม |
ทั้งนี้ในภาวะปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตสังคมไทยจะก้าวหน้าสู่สังคมผู้สูงอายุภายในช่วงเวลาอันสั้นทำให้มีเวลาเตรียมคนและระบบรองรับได้น้อยลง สำหรับผู้สูงอายุดังกล่าวจะเป็นภาระกับผู้ที่อยู่ใน
วัยแรงงาน โดยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2543 อัตราส่วนวัยแรงงานอยู่ที่ 7 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน ในปี พ.ศ. 2553 อัตราส่วนวัยแรงงานอยู่ที่ 5.3 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน และคาดว่า พ.ศ. 2563 อัตราส่วนวัยแรงงานจะเท่ากับ 3.8 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน
ผลที่เกิดจากสังคมผู้สูงอายุ 🌄ความรู้เพิ่มเติม ปัจจัยการผลิตทางด้านแรงงานลดลง ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวมากขึ้น การลงทุนการออมน้อยลง ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) หรือรายได้ประชาชาติน้อยลง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นขณะที่งบประมาณ รายได้ลดลง รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณด้านสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุมากขึ้น อีกทั้งเกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง สภาพจิตใจย่ำแย่ และความเสื่อมโทรมทางร่างกาย จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ |
ในอดีตการเพิ่มจำนวนประชากรของไทยมีลักษณะเพิ่มขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา
อัตราการเพิ่มของประชากรในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง คือ อัตราการเพิ่มของประชากรในระหว่าง พ.ศ. 2533- 2543 อยู่ที่ร้อยละ 1.05 ต่อปี ต่อมาระหว่างปี 2543- 2553 ลดลงมาเหลือร้อยละ 0.8 อันเป็นผลมาจากประเทศไทยมีอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ อัตราการเกิดของประชากรไทยยังคงมีมากกว่าอัตราการตายในแต่ละปี เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข
จึงทำให้ประชากรของไทยยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2. การเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจพิจารณาได้จากระบบครอบครัวและเครือญาติในประเด็นการใช้ถ้อยคำเรียกญาติพี่น้องตามประเภทและระดับอายุต่างๆ ยังคงเหมือนกับคนไทยในอดีต แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก สามีกับภรรยา ฯลฯ จะเปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นฐานเศรษฐกิจและภาระหน้าที่ของแต่ละบุคคลในสังคม
สมัยใหม่ทั้งในเมืองและชนบท เช่น ในอดีตชายไทยมีภรรยาได้พร้อมๆ กันหลายคนและหลายประเภท
แต่ปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้มีได้เพียงคนเดียว หรือการแต่งงานในอดีตพ่อแม่จะเป็นผู้จัดการให้กับลูกหรือเรียกว่า “ประเพณีคลุมถุงชน” โดยที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายไม่รู้จักกันหรือไม่เคยเรียนรู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกันมาก่อนเลย แต่ปัจจุบันประเพณีนี้ก็ได้ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ในอดีตเด็กชายเท่านั้นที่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน โดยมีพระเป็นครูสอน แต่ปัจจุบันเด็กไทยทุกคนทั้งหญิงและชายมีสิทธิ์เข้ารับการศึกษา
ในระดับขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 15 ปี อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังคงมีระบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อย
กับผู้ใหญ่ที่เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์” มาจนถึงปัจจุบัน แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นลักษณะของการแลกเปลี่ยน
ซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้โครงสร้างของสังคม ไปตามระบบเศรษฐกิจและการปกครองของประเทศ แต่เดิมไทย
มีระบบเศรษฐกิจแบบเลี้ยงครอบครัว หลังจากทำสนธิสัญญาเบาว์ริงแล้วระบบเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการผลิตเพื่อการตลาดที่มีความต้องการเงินหมุนเวียนมากขึ้น กระบวนการผลิตและการจำหน่ายจะมีนายทุนและผู้ประกอบการที่ต้องการผลตอบแทน ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม
มีการจ้างแรงงานที่เรียกว่า “ลูกจ้าง” เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีอาชีพมากมายหลายประเภทที่บุคคลสามารถเลือกได้ตามความถนัดและโอกาส แต่จะต้องมีความรู้และทักษะที่ได้รับการฝึกอบรมจากสถาบันการศึกษาหรือสถาบันฝึกฝีมือแรงงานต่างจากอดีตที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ
กลุ่มข้าราชการและทหารยังคงมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองเช่นเดียวกันกับสังคมในอดีต แต่อุดมคติของข้าราชการสมัยใหม่ไม่นิยมกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจเหมือนสมัยก่อน นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม
นักการเมืองเข้ามาเป็นกลไกใหม่ของระบบบริหารการปกครอง กลุ่มข้าราชการและทหารที่เคยมี
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในอดีตต้องเสียผลประโยชน์ไป บางคนจำเป็นต้องใช้อำนาจหน้าที่เพื่อหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับกลุ่มพ่อค้าและนายทุน ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในบทบาทหน้าที่และจริยธรรมของสังคมที่มีผลสะท้อนต่อความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ
สำหรับโครงสร้างของสังคมทางด้านการเมืองและการปกครองในอดีตเป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์จะอยู่ในฐานะสมมติเทพหรือเจ้าชีวิต แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้เปลี่ยนไปใช้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฐานะของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนไปเป็นพระมหากษัตริย์ของปวงชนที่ส่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม หมายถึง ค่านิยมทางวัฒนธรรม ได้แก่ แนวคิดและวิธีการปฏิบัติของคนในแต่ละวัฒนธรรมที่ยึดถือเป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมต่างๆ ของคน เช่น การเกิด การตาย ความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดกับการตาย ความดี ความชั่ว ความทุกข์ ความสุข ค่านิยมเกี่ยวกับตนเองและคนอื่น ความสวยงาม ศิลปะ และความบันเทิง
นับตั้งแต่ที่ไทยทำการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา สังคมไทยได้ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย ซึ่งเป็นการผสมผสานในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีความขัดแย้งต่อต้านที่รุนแรงมากนัก การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญเกิดขึ้นในระดับชนชั้นที่มีอำนาจปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจในเมืองหลวง และจำกัดใช้กันอยู่ในกลุ่มคน
ชั้นนำที่ต้องการจะเป็น “สมัยใหม่” ตามวัฒนธรรมตะวันตก เช่น การแต่งกายตามแบบตะวันตก การจับมือทักทายตามแบบตะวันตก การใช้ภาษาอังกฤษ การรับประทานอาหารนอกบ้าน
การเปลี่ยนแปลงลักษณะของสังคมเมืองหลวงและเมืองใหญ่ในภูมิภาคที่จากเดิมมีลักษณะเป็น
เมืองศูนย์กลางทางการบริหารและการปกครองมาเป็นเมืองการค้า เมืองอุตสาหกรรม หรือเมืองท่องเที่ยว ซึ่งมีผลไปถึงสังคมชนบทในส่วนที่สามารถติดต่อคมนาคมกับสังคมเมืองทั้งไกลและใกล้ได้สะดวก สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมของสังคมนั้น กล่าวคือ เปลี่ยนแปลงจากวัฒนธรรมแบบประเพณีดั้งเดิมเป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่ เช่น มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิต การใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารการแทนการเดินทางติดต่อกันโดยตรง การใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ในการคมนาคมขนส่งแทนเรือ แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็ไม่มีการคัดค้านหรือการประท้วงในหมู่ประชาชนเท่าใดนัก มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่แสดงความห่วงใยต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมที่กำลังถูกครอบงำจากวัฒนธรรมตะวันตก
ในยุคปัจจุบันได้เกิดความตื่นตัวในเรื่องวัฒนธรรมแบบประเพณีดั้งเดิมอย่างจริงจัง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการวิพากษ์วิจารณ์แผนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม
จนละเลยภาคเกษตรกรรม และการกระจายรายได้ที่ไม่ทั่วถึง จนเกิดปัญหาความยากจน เนื่องมาจากการพัฒนาที่ไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย ทำให้สังคมเกิดความตื่นตัวและหันมาให้ความสนใจกับวัฒนธรรมแบบประเพณีดั้งเดิมของไทยมากยิ่งขึ้น เช่น การส่งเสริมให้ทำการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ
สังคมภายในท้องถิ่นของนักเรียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ? 🎯คำถามชวนคิด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. |
อุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมอาจไม่ได้รับการยอมรับเสมอไป การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจได้รับการยอมรับเพียงบางส่วน หรือบางอย่างอาจไม่ได้รับการยอมรับเลย ซึ่งอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอาจสรุปได้ดังนี้
1. การเห็นประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้รับการยอมรับหากสมาชิกในสังคมไม่เห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงนั้นซึ่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นจากการทดลอง เช่น การสื่อสารดาวเทียม แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถนำมาทดลองได้ เช่น วัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ วิญญาณ สังคมจะยอมรับการเปลี่ยนแปลง เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่มีต่อสังคม
2. ความสอดคล้องกับวัฒนธรรมเดิม สังคมจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมเดิม หรือช่วยให้สังคมพัฒนาดีขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่ขัดต่อวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมของสังคม
3. กลุ่มรักษาผลประโยชน์ กลุ่มที่รักษาผลประโยชน์จะคัดค้านการเปลี่ยนแปลงถ้าพบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เสียผลประโยชน์ แต่ในทางตรงกันข้ามจะให้การสนับสนุน ถ้าพบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นประโยชน์
หน่วยที่ 4 การแก้ปัญา และแนวทางการแก้ไขปัญหา
แม้ว่าสังคมจะมีความร่วมมือปรับเปลี่ยนและแก้ไข เพื่อที่จะให้คนไกลทางสังคมดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่บางครั้งบางกรณีอาจเกิดมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งขึ้นทั้งที่เป็นผลมาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของสังคม ซึ่งส่งผลให้เกิดการทำงานของกลไกทางสังคมไม่เป็นปกติและกลายเป็นปัญหาสังคมขึ้นมา
พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2524 ได้ให้ความหมายของปัญหาสังคมว่า หมายถึง ภาวะใดๆ ในสังคมที่คนจำนวนมากถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ ไม่พึงปรารถนา รู้สึกไม่สบายใจ และต้องการให้มีการแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการทุจริตในวงราชการ ปัญหายาเสพติด เป็นต้น ปัญหาสังคมเป็นผลมาจากกระบวนการทางสังคม รวมถึงการประเมินพฤติกรรมของคนในสังคมด้วย มาตรฐานศีลธรรมในขณะนั้น
คำจำกัดความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ปัญหาหรือข้อขัดแย้งที่กระทบคนส่วนใหญ่ในสังคมเท่านั้นจึงถือว่าเป็นปัญหาสังคม แต่หากเป็นปัญหาของตัวบุคคลเพียงคนเดียว เช่น พี่ทะเลาะกับน้อง เพราะน้องไม่ยอมทำการบ้าน ครูลงโทษนักเรียน เพราะทำผิดกฎของโรงเรียนจะไม่ถือว่าเป็นปัญหาสังคม
สังคมไทยจึงเป็นเช่นเดียวกับสังคมคนอื่นๆ ทั่วโลกที่มีปัญหา เพราะทุกสังคมมีการเปลี่ยนแปลงมีคนกระทำพฤติกรรมเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ และสถาบันทางสังคมทำนาทีไม่ครบสมบูรณ์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานทำให้เกิดปัญหาสังคมได้ ปัญหาสังคมอาจมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อสังคมระดับและขอบเขตที่ต่างกัน เช่น ระดับชุมชน ระดับประเทศ ระดับโลก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าปัญหาจะมีความรุนแรงและมีขอบเขตมากขนาดใด คนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงจะต้องพยายามหาทางควบคุม เพื่อให้ความเป็นระเบียบเรียบร้อยกลับคืนมา ในที่นี้จะหยิบยกปัญหาสังคมบางประการมากล่าวถึงและเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อเป็นตัวอย่าง
การศึกษากรณีปัญหาตัวอย่างดังนี้จะทำให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความรุนแรงและผลกระทบของปัญหาสังคม เพื่อจะได้ร่วมกันหาหนทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก หรือหากเกิดขึ้นแล้วจะร่วมกันแก้ปัญหาได้อย่างไร
ปัญหายาเสพติด
ยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่มีมาอย่างยาวนาน และนับวันจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากข่าวการจับกุมคดียาเสพติดที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมักจะมีเยาวชนไปยุ่งเกี่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในสังคมไทยที่ควรเร่งดำเนินการแก้ไขให้หมดสิ้นไป เพราะนอกจากยาเสพติดจะนำผลเสียมาสู่ร่างกายของผู้เสพ หรือผู้ค้าแล้ว ยังนำไปสู่ปัญหาสังคมคนอื่นๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการปล้นทรัพย์ ปัญหาโรคเอดส์ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง
ตามกฎหมายได้ให้ความหมายของยาเสพติดว่า หมายถึง ยา สารเคมี หรือวัสดุชนิดใดๆที่เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยวิธีการรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือวิธีการใดๆก็ตามทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ
สาเหตุของปัญหายาเสพติดเกิดจากความอยากรู้อยากลองของเด็กเอง และไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากผู้ใหญ่ จึงหลงผิดไม่รู้ถึงโทษหรือผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมา และสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ผลักดันให้คนหันไปหายาเสพติด เช่น ครอบครัวแตกแยก ความทุกข์ที่เกิดจากความยากไร้ การไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้ ทำให้จิตใจอ่อนแอ เมื่อได้รับการชักจูงให้ยาเสพติดเพื่อคลายความทุกข์ก็หันเข้าหายาเสพติดในขณะเดียวกันกล่าวมิจฉาชีพก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวก็พยายามผลิตและจำหน่ายยาเสพติดด้วยกลวิธีหลอกล่อให้คนเสพยาโดยไม่คำนึงถึงโทษที่เกิดขึ้นกับคนในสังคม
แนวทางการแก้ไขและปราบปรามปัญหายาเสพติดที่สำคัญ มีดังนี้
1. นโยบายของรัฐบาล ด้านการปราบปรามปัญหายาเสพติด โดยการจับกุมทำลายแหล่งผลิตยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง และออกกฎหมายเพิ่มโทษผู้ผลิตและผู้ขายอย่างรุนแรง
2. สถานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ดำเนินการเพื่อให้เลิกใช้สารเสพติดอันหนึ่งการบำบัดรักษาต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา และสถาบันนันทนาการ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ติดยาด้านเงินบริจาค กลับสถานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดให้สามารถออกเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อให้กำลังใจแก่ผู้ติดยาได้อย่างสม่ำเสมอ
3. ความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชน ปัจจุบันมีองค์กรเอกชนมากมายที่ให้ความช่วยเหลือผู้ติดยาให้สามารถ ลด ละ เลิกการใช้สารเสพติด เช่น สำนักงานสร้างเสริมสุขภาวะ (สสส.) เป็นต้น ในขณะเดียวกันได้มีการสนับสนุนให้สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา สร้างภูมิคุ้มกันให้คนในครอบครัวและสังคม เป็นคนดีและเป็นที่รักของคนรอบข้าง รู้ผิดรู้ชอบ และสามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับคนอื่นได้หากเกิดปัญหาในชีวิต ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะทำให้คนหลีกหนียาเสพติดได้
เยาวชนถือเป็นหนึ่งในกลุ่มคนสำคัญที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนค่านิยมหรือทัศนคติของตนเอง ด้วยการมองว่ายาเสพติดเป็นภัยร้ายของชีวิตและสังคม จึงควรหลีกเลี่ยงและไม่ชักชวนผู้อื่นให้เข้ามายุ่งเกี่ยว นอกจากนั้นยังสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมหรือโครงการที่จัดขึ้นเพื่อต่อต้านยาเสพติด เช่น การเข้าร่วมจัดนิทรรศการหรือเดินรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในวันต่อต้านยาเสพติดโลก การเข้าเป็นสมาชิกในโครงการ ทู บี นัมเบอร์วัน เป็นต้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในขั้นรุนแรง และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคน สิ่งแวดล้อมในที่นี้ หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ดิน น้ำ อากาศ ภูเขา และสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น ป่าไม้ พืชพันธุ์ธรรมชาติ สัตว์ป่า และสัตว์น้ำ เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมมีอยู่ด้วยกันหลายประการแต่ที่สำคัญ คือ เกิดจากกระบวนการผลิตโดยเฉพาะจากโรงงานอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่งที่ก่อให้เกิดมลพิษ การพัฒนาประเทศที่ก่อให้เกิดภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ แต่ก็นับว่าน้อยมากถ้าเปรียบเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การถางป่าเพื่อใช้ดินในการเพาะปลูก การตัดต้นไม้ทำฟืนและถ่าน เพื่อใช้เป็นพลังงานในการหุงต้ม เป็นต้น
สำหรับแนวทางป้องกันและแก้ไขควรเริ่มที่ระดับบุคคลและครอบครัวซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม โดยการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง เกี่ยวกับการสงวนรักษาสภาพแวดล้อมการใช้พลังงานทดแทน และการปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนเป็นต้น รวมทั้งการหาแนวทางรณรงค์การรักษาสิ่งแวดล้อมต่อไปในระดับชุมชนและระดับประเทศ เพราะการให้ความรู้ความเข้าใจถือเป็นแนวทางแรกที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้ดีที่สุด
ปัญหาการทุจริต
ปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือคอรัปชั่นถือเป็นปัญหาที่สำคัญระดับชาติ จะเห็นได้ว่าการทุจริตมีตั้งแต่ระดับสูงลงมาจนถึงระดับท้องถิ่น แม้ว่าจะมีการปราบปรามและการรณรงค์ต่อต้านอยู่เนื่องๆ แล้วก็ตาม
สาเหตุสำคัญของปัญหาทุจริตมาจากความต้องการบริโภคเกินความพอดี คือ มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย จึงหาช่องทางทุจริตนำเอาทรัพย์สินของคนอื่นและของทางราชการมาเป็นของตนเอง รวมทั้งกฎเกณฑ์และกฎศีลธรรมของคนในเสื่อมลง เธอทำผิดได้โดยไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
แนวทางการแก้ไขปัญหาจึงเริ่มจากการปลูกฝังค่านิยมที่ดี โดยเฉพาะการปลูกฝังให้เห็นว่าประโยชน์ส่วนรวมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด รวมทั้งต้องการมีการรณรงค์ให้คนในสังคมรังเกียจการทุจริต เน้นความซื่อสัตย์ ภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง โดยต้องปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็กผ่านทางการอบรมสั่งสอนของบิดามารดา และการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ เพื่อให้ค่านิยมเหล่านี้ซึมลึกอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคน
นอกจากนี้ บทลงโทษทางสังคมก็จะต้องเข้มแข็งไม่ให้มีช่องโหว่ทางกฎหมายในการช่วยเหลือพวกพ้องให้พ้นผิด คนจะได้ไม่กล้าทุจริต และสังคมต้องให้การสนับสนุนด้วยการชี้เบาะแสผู้กระทำความผิดให้กับองค์กร ก็จะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนีให้ลดน้อยลงได้
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมกำลังเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก เพราะปัญหาดังกล่าวนำไปสู่ปัญหาสังคมต่างๆ เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาการทารุณกรรมในครอบครัว ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาสิทธิเด็กและสตรี ปัญหาวัยรุ่น เป็นต้น
สาเหตุหลักๆ ของปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมนั้นมาจากการที่สังคมมีสมาชิกจำนวนมากหรือจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนในสังคมต้องแข่งขันกันในด้านต่างๆ จนเกิดความเครียด หรือสภาพสังคมที่เน้นวัตถุนิยม รวมทั้งการยับยั้งชั่งใจและการควบคุมอารมณ์ให้มีสติของคนในสังคมมีน้อยลง จึงทำให้หลายคนหันไปใช้กำลังและความรุนแรงในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่
แนวทางการแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการสร้างค่านิยมการให้เกียรติกันและกันในครอบครัวหันหน้าปรึกษาหารือกันทั้งทางด้านการเงิน การเรียน การดําเนินชีวิต และทางด้านจิตใจสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้คนในครอบครัวมีความเอื้ออาทร ลดความรุนแรงอย่างยั่งยืนได้ และต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรช่วยเหลือต่างๆ เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการเข้าไปรณรงค์และดูแลทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี เช่น ส่งเสริมการสร้างครอบครัวใหม่ที่มีความเข้าใจกัน ส่งเสริมสิทธิสตรี ส่งเสริมการคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นต้น
อนึ่ง การสร้างความสมานฉันท์ในสังคมจะเป็นทางออกที่ดีให้กับสังคมที่มีความแตกแยกด้วยความคิดและใช้ความรุนแรงเข้าประหัดประหารกัน โดยเน้นการติดต่อสื่อสารระหว่างการผ่านทางการประชุม สัมมนา และการทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกัน รวมทั้งร่วมกันสร้างค่านิยมการยอมรับความแตกต่างในด้านความคิดเห็นของบุคคลอื่น เพราะถ้าหากสังคมไร้ค่านิยมดังกล่าว สังคมจะมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ปราศจากความสุข และไม่อาจพัฒนาต่อไปได้
นอกจากปัญหาสังคมที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้น สังคมไทยยังมีปัญหาสังคมอีกมากมายที่มีความรุนแรงสูง เช่น ปัญหาโรคเอดส์ ปัญหาสุขภาพอนามัย ปัญหาคนว่างงาน ปัญหาคนชรา เป็นต้น ซึ่งทุกปัญหาต้องได้รับความร่วมมือจากสมาชิกของสังคมในการพิจารณาถึงสาเหตุของแต่ละปัญหา แนวทางป้องกัน และร่วมมือการแก้ไขปัญหาก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่าเดิม ทั้งนี้หากทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและกฎเกณฑ์ทางสังคมก็ย่อมทำให้สังคมเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน
แนวทางการพัฒนาทางสังคม
ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งภายในและภายนอกประเทศ อันจะส่งผลกระทบต่อทิศทางการพัฒนาของประเทศไทยในอนาคต ประกอบกับการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา ยังก่อให้เกิดปัญหาทางโครงสร้างในหลายๆ ด้าน เช่น ระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการประเทศที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นำไปสู่ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ รุนแรงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องกำหนดแนวทางพัฒนาที่เหมาะสม โดยเน้นการเตรียมพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศให้มีความเข้มแข็งภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมั่นคง
กล่าวโดยสรุป การศึกษาสังคมมนุษย์นั้น จำเป็นต้องเรียนรู้ถึงโครงสร้างทางสังคมเพื่อให้สามารถมองเห็นลักษณะของระบบและสถาบันทางสังคมอย่างชัดเจน สามารถเข้าใจกลไกการจัดระเบียบทางสังคมที่ยึดโยงสังคมให้ดำรงอยู่และมีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละสังคม โดยความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคมจะอยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมที่อาจเป็นไปได้ ทั้งในทางความร่วมมือสนับสนุนการและกัน การแข่งขัน การขัดแย้ง การประนีประนอม หรือการเอารัดเอาเปรียบ แต่ทั้งหมดก็ต้องเป็นไปตามระเบียบแบบแผนหรืออยู่ในกรอบของสังคมนั้นๆ
เมื่อสังคมมีสมาชิกใหม่ กระบวนการขัดเกลาทางสังคมก็บังเกิดขึ้น เพื่อให้สมาชิกใหม่ได้เรียนรู้คุณธรรม คุณค่า และอุดมคติที่สังคมยึดมั่น และได้เรียนรู้บรรทัดฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้ในสังคม ซึ่งทำให้ผู้นั้นเป็นสมาชิกของสังคมได้อย่างสมบูรณ์ การขัดเกลาทางสังคมอาจเป็นไปในทางตรง เช่น การสอนพูด สอนมารยาท และทางอ้อม เช่น ผ่านสื่อต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต และการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม
นอกจากนี้ สังคมทั้งหลายมิได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลและเวลาตามแรงกระตุ้นต่างๆทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้โครงสร้างและการจัดระเบียบทางสังคมต้องปรับเปลี่ยนไปตามกระแส ทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งผลกระทบในทางลบเกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ดังนั้น ประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไขและสร้างแนวทางในการพัฒนาสังคม เพื่อให้โครงสร้างและการจัดระเบียบทางสังคมปรับเปลี่ยนตามบริบทที่อยู่บนรากฐานของความเป็นไทยอย่างแท้จริง
เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา สังคมศึกษาพื้นฐาน (ส31103) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม นายภีมพล เหมภูมิ ผู้สอน หน้า
[1] การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงของระบบความสัมพันธ์ขององค์กรทางสังคม